เรื่องสั้น ซึมเศร้า จากภาพหลอน หรือคือความจริง “หิมะแดง” นำเสนอเรื่องสั้นเรื่องใหม่ ที่พาผู้อ่านไปสำรวจถึงหมายเหตุฆาตกรรม ต้นเหตุที่แท้จริงคืออะไร โรคซึมเศร้าที่กลายเป็นจำเลย เพื่อปกป้องผู้คนที่ชั่วร้าย ความจริงที่พูดไม่ได้ นำมาซึ่งความตายที่ความจริงไม่เคยได้รับการเปิดเผย
นักเล่าข่าวชื่อดัง กำลังเล่าข่าวอย่างเร้าใจ เหตุการณ์การสังหารหมู่ในครอบครัว เกิดขึ้นบ่อยครั้งในระยะหลัง แต่ข่าวที่เขากำลังเล่า เป็นที่สนใจ เพราะฆาตกร เป็นหญิงสาว การศึกษาดี การงานในระดับผู้บริหารบริษัทเอกชนรายใหญ่ที่สงวนนามไว้ ชีวิตครอบครัวอบอุ่น แต่งงานกับสามีแสนดี เกิดอะไรขึ้นกับ 3 ศพ ที่เธอสังหารภายในบ้าน
มีเพียงบทสัมภาษณ์เดียวที่รอดตายในวันนั้น คือผู้เป็นพ่อ นักข่าวสรุปว่า เธอมีความเครียด ซึ่งสาเหตุไม่แน่ชัด แต่ผู้เป็นพ่อให้ความเห็นว่า ช่วงหลังลูกสาวเก็บตัว พูดจาน้อยลง ทุกคนที่บ้าน ที่ประกอบด้วย พ่อ อาผู้ชายน้องแท้ๆ ของพ่อ อาสะใภ้ และสามีเธอ 3 คน หลัง คือเหยื่อที่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ พ่อให้สัมภาษณ์ว่าได้เคยใช้ความพยายาม เกลี้ยกล่อมให้เธอไปพบจิตแพทย์ แต่เธอปฏิเสธ จนนำมาซึ่งโศกนาฏกรรม
คนเป็นพ่อเล่าให้ผู้สื่อข่าวฟัง พ่อกับแม่หย่าร้างกันมานาน หลังหย่าร้าง เขากับน้องชาย ได้ร่วมกันซื้อบ้านหลังปัจจุบัน พวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข น้องชายดูแลหลาน เมื่อเขาต้องเดินทางไปต่างจังหวัดเพื่อติดต่องาน ก่อนลูกสาวจบ ป. ตรี อาได้แต่งงาน อาสะใภ้ได้เข้ามาอยู่ร่วมกัน เป็นสมาชิกคนที่ 4 ของครอบครัว ลูกสาวเขา กับ อาสะใภ้ ก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี
จนลูกสาวไปเรียนต่อ ป. โท ที่สหรัฐ เป็นเวลา 2 ปี เธอกลับมาพร้อมแฟนหนุ่ม ซึ่งเขาเป็นคนอัธยาศัยดี สุภาพอ่อนน้อม เชื่อฟังลูกสาวเป็นอย่างดี เป็นที่รักของทุกคนในบ้าน เมื่อลูกสาวแต่งงาน พ่อกับอา ต่างขอร้องให้เธออยู่ในบ้านต่อไป ด้วยการต่อเติมเป็นเรือนหลังเล็กอีกหลัง เพื่อความเป็นส่วนตัวของคู่สามีภรรยา แต่กิจกรรมอย่างอื่นยังทำร่วมกัน ไม่ว่า ทานข้าว ไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือ ต่างประเทศ
ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีเป็นเวลาหลายปี ตั้งแต่ลูกสาวแต่งงาน เธอกับสามีตกลงกันจะไม่มีทายาท พ่อเล่าต่อว่า ลูกสาว กับ สามี ดูรักกันดี ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกันแต่อย่างใด ทั้งสองคน เข้ากันได้ดีกับทุกคนในบ้าน ลูกสาวก็มีความสัมพันธ์ ที่ ดีกับเขา เพราะตั้งแต่หย่ากับอดีตภรรยา ผู้เป็นพ่อก็ไม่เคยมีผู้หญิงใหม่ ทำงานทุ่มเทเลี้ยงดูลูกสาวเป็นอย่างดี เธอจึงมีความเคารพรักในพ่อเป็นอย่างยิ่ง
จนเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา เขาเห็นลูกสาวเริ่มมีอาการผิดปกติ เก็บตัว พูดจาน้อยลง ไม่ร่วมทานอาหาร หลบหน้า จนสุดท้าย เธอไม่ย่างกรายมาที่ตึกใหญ่ เก็บตัวแต่ในบ้านเล็กของเธอ เขาสอบถามลูกเขย แต่เขาก็ไม่ทราบ ตัวเขาเอง และอา พยายามพูดคุย สอบถามลูกสาว เป็นการส่วนตัว เพื่อจะหาสาเหตุ แต่ลูกสาวปฏิเสธว่าไม่มีอะไร เธออยู่ในช่วงที่ต้องการอยู่คนเดียว อีกสักพักคงดีขึ้น ทุกคนจึงได้แต่เฝ้าดูห่างๆ
เขากับลูกเขย วางแผนจะพาลูกสาว ไปพบจิตแพทย์ แต่คงต้องล่อหลอกเธอ เขาเกรงว่าถ้าบอกเธอตามจริงเรื่องไปพบจิตแพทย์ เธอคงไม่ยอมอย่างแน่นอน เพราะทุกคนในบ้านได้เคยพยายามหลายครั้งแล้ว แต่กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเสียก่อน
ค่ำวันเสาร์ ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ยกเว้นลูกสาว ทั้งหมดกำลังนั่งรับประทานมื้อค่ำร่วมกันบนตึกใหญ่ ก่อนที่พวกเขากำลังจะแยกย้ายจากกันกัน หลังมื้อค่ำเสร็จสิ้นลง แต่ทันใดนั้น ลูกสาวเขาเดินเข้ามา ในชุดกางเกงยีนส์ เสื้อยืด มีเสื้อแจ๊คเก็ต คลุมเสื้อยืด
เขาร้องถามว่า กินข้าวยัง มานั่งกินด้วยกันก่อนสิ เขาเล่าว่า เขาดีใจและคิดว่าลูกสาวจะมาร่วมวงอาหารด้วย จนลืมสังเกตว่าเธอมีแววตาเหม่อลอย ลูกเขยลุกจากเก้าอี้ เดินไปหาเธอ คงจะไปจูงมือมาที่โต๊ะอาหาร
อา กับ อาสะใภ้ ขยับเก้าอี้ เพื่อให้มีที่ว่างให้เธอ เขา น้องชาย และ ภรยยา น้องชาย กำลังสาละวน กับการจัดที่นั่ง จนไม่ได้สนใจลูกเขยที่เดินเข้าไปหาภรรยาเขา จนกระทั่ง
เสียงปืนดัง ปัง ปัง กึกก้องทั่วห้อง ทุกตนตกใจ และหันไปทางต้นเสียง ลูกสาวถือปืนเล็งมาที่อาผู้ชาย และ อาสะใภ้ เสียงปืนดังตามมาอีกหลายครั้ง เขาหลบลงใต้โต๊ะ มองเห็นร่างอาบเลือดของลูกเขยอยู่แทบเท้าลูกสาว ร่างน้องชาย และ น้องสะใภ้ อยู่ห่างจากเขาไม่กี่ฟุต เขาตกใจจนทำอะไรไม่ถูก และคิดว่า เขาต้องเป็นรายต่อไป ลูกสาวเดินมาก้มลงมองเขาที่หลบอยู่ใต้โต๊ะ บอกเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ต้องกลัว เธอไม่ทำอะไร และขอให้เขา
อโหสิ ให้เธอ
ก่อนที่เธอจะขับรถหนีออกไป
ผู้สื่อข่าวติดตามเหตุการณ์ตั้งแต่เย็นวันเสาร์ จนวันนี้วันอังคาร เธอได้ติดต่อกลับมาบ้างหรือไม่ เขาบอกยังไม่มีการติดต่อ ถ้าลูกฟังอยู่ ขอให้เธอมามอบตัว เขามั่นใจว่า ลูกมีอาอการไม่ปกติทางจิต พบยาจำนวนมากในลิ้นชักห้องนอน ไม่ว่ายานอนหลับ ยากล่อมประสาท อาจจะเป็นด้วยภาวะความเครียด ซึมเศร้า ผสมกับยาที่เธอใช้ อาจทำให้เธอหลอน จนขาดสติ ขอให้ลูกมารับผิดชอบและสู้คดีในสิ่งที่ทำลงไป ส่วนตัวเขาให้อภัยลูกได้เสมอ น้ำตาลูกผู้ชายสูงวัยของเขาไหลริน สะอื้นเงียบ จนทำให้ผู้ได้เห็น รู้สึกสลดใจ กับ สังคม และ โรคที่เหมือนติดต่อกันง่ายดาย อย่าง โรคซึมเศร้า
ทางตำรวจ ยังตามหาหญิงสาวที่ก่อคดีไม่พบ เธอปิดมือถือ ตำรวจกำลังตามไล่ล่า เพราะเธอมีอาวุธในครอบครอง จึงเป็นบุคคลอันตราย ตำรวจให้รายละเอียดพาหนะ ที่เธอใช้ในการหลบหนี ให้ประชาชนเป็นหูเป็นตา ถ้าผู้ใดพบเห็นอย่าเข้าใกล้ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่
ผู้เล่าข่าวทั้งสองท่าน ยังถกกันในคดีนี้ว่าสังคมป่วย สาเหตุของโรคซึมเศร้า ครอบครัวต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เมื่อเห็นสมาชิกของครอบครัวมีอาการ ควรพาไปพบแพทย์ ทั้งสองนักเล่าข่าว แสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสีย และ เสียใจกับคุณพ่อ ที่ต้องมาประสพเหตุการณ์อันเลวร้ายในชีวิต ขอให้หญิงสาวมามอบตัวและมาบำบัด ทุกอย่างยังไม่สาย
หญิงสาวในชุดกางเกงยีนส์ เสื้อยืด หมวกแกป กระเป๋าสะพายใบเล็ก กำลังเดินอยู่ริมหาดในหมู่บ้านประมงที่ห่างไกลผู้คนในจังหวัดภาคตะวันออก เธอออกจากบ้านหลังก่อเหตุ ขับรถไปจอดทิ้งไว้ข้างทางบนเส้นทางมุ่งสู่ภาคเหนือ ก่อนที่เธอจะนั่งรถโดยสารย้อนลงมาทางจังหวัดภาคตะวันออก เธอนั่งข้างคุณยาย ที่ถามเธอว่าจะไปไหน เธอบอกว่าจะมาหาเพื่อนที่จังหวัดนี้ คุณยายใจดี แบ่งขนมที่ห่อด้วยใบตองให้เธอมา 3 ห่อ เธอลงรถพร้อมคุณยาย เธอถามถึงหมู่บ้านประมง ยายชี้ทางให้เธอ ส่วนตัวยายอยู่บนเชิงเขา เธอแยกกับคุณยาย และเดินมาถึงหมู่บ้านนี้บ่ายแก่
ทำไมเธอมาที่นี่ เธอเคยมาออกค่ายสมัยเป็นนักศึกษา ธรรมชาติไม่ได้สวยงาม ไม่เหมือนชายหาดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่เธอชอบในความจริงใจ ของคนที่นี่ เธอจึงเลือกที่จะมาเพื่อสงบจิตใจ เธอเห็นข่าวตัวเองในโซเซียล อีกทั้งคำวิจารณ์ การคาดการณ์ต่างๆ นา จากคนมากมายที่ไม่ได้รู้เรื่องราวความจริงอันใด แต่แต่งเติมเสนอความคิดเห็นดังเฉกเช่นตัวเองอยู่ในเหตุการณ์ เธอเห็นคำบอกเล่าของพ่อกับผู้สื่อข่าว กับสังคม พ่อที่หัวใจสลายเพราะลูกสาว ที่เป็นโรคซึมเศร้า พ่อผู้น่าสงสาร
นั่งลงบนพื้นทราย ห่างจากชุมชนหมู่บ้านประมงที่ปลูกไว้พอประมาณ เป็นช่วงใกล้พลบค่ำ แต่ละบ้านคงตระเตรียมอาหารเย็น ก่อนที่จะนำเรือออกไปประกอบอาชีพยามค่ำคืน กลิ่นคาวทะเลลอยมากระทบจมูก ผสมคละเคล้ากลิ่นควันไฟ เธอนั่งมองพระอาทิตย์ใกล้จมหายไปในทะเล คงเหมือนชีวิตเธอที่ใกล้จมหายจากโลกที่โหดร้าย เกินกว่าที่เธอจะบอกใครได้
เธอเคยมีความสุขในครอบครัว ชีวิตที่ขาดแม่ ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกขาดหรือมีปมด้อย พ่อที่เลี้ยงดูเธอให้อยู่ดีกินดี มีการศึกษาที่ดี ถึงจะไม่ร่ำรวยเฉกเช่นเศรษฐี แต่เธอไม่เคยอัตคัด เธอได้ในทุกสิ่งที่ต้องการ อาที่คอยดูแลเธอ เป็นตัวแทนของพ่อ ยามพ่อติดภารกิจ เธอไม่เคยสร้างปัญหาให้พ่อ และ อา เธอเป็นเด็กในโอวาท เรียนดี จบแล้ว ได้งานที่ดี มีสามีที่ดี ทั้งตามใจ เชื่อฟัง และ เอาอกเอาใจเธอ จนทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เธอโชคดี ชีวิตเธอดูสมบูรณ์แบบ เป็นที่น่าอิจฉา
จนกระทั่ง 2 เดือนที่แล้ว เธอเดินทางไปประชุมที่ประเทศสิงค์โปร์ เธอมีแผนจะกลับบ่ายวันเสาร์ แต่การประชุมวันศุกร์ เสร็จก่อนหมายกำหนดการ เธออยากกลับมาพักผ่อนเสาร์-อาทิตย์ ที่บ้าน เธอเลื่อนตั๋วเป็นเที่ยวบินเย็นวันศุกร์แทน กลับถึงกรุงเทพฯ ประมาณ 4 ทุ่ม ถึงบ้านคงไม่เกินเที่ยงคืน เธอคำนวณกับตัวเอง เช้าวันเสาร์ เธอนอนตื่นสายได้ ดีกว่าเดินทางวันเสาร์ เธอต้องตื่นแต่เช้าไปสนามบิน เธออยากเซอร์ไพร์สสามี เธอจึงไม่ได้โทรบอกเขา จากสนามบินกลับด้วยรถแท็กซีไม่ได้ยากเกินไปสำหรับเธอ ที่มีกระเป๋าเดินทางใบเล็กแค่นั้น ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่เธอวางไว้
เธอหิ้วกระเป๋าเดินทางใบเล็ก ผ่านประตูเล็กที่รั้ว เดินผ่านตึกใหญ่ อ้อมไปที่บ้านหลังเล็กของเธอ ชั้นล่างไม่มีไฟเปิดไว้ เธอเดินด้วยความคุ้นเคย เธอเปิดห้องซักรีด วางกระเป๋าเดินทางไว้ในห้อง คิดในใจ พรุ่งนี้ค่อยลงมาจัดการ รื้อข้าวของ เธอเดินขึ้นบันใด ไปที่ห้องนอน เธอจับลูกบิดหมุนเปิด
เพียงประตูเปิดออกอย่างเบามือ สามีไม่ได้ล็อคห้องซึ่งเป็นปกติ เพราะบ้านนี้มีเขากับเธออยู่แค่สองคน เธอแง้มประตูอย่างแผ่วเบา อยากให้เขาแปลกใจเมื่อตื่นมาเห็นเธอยืนอยู่หน้าเตียง เธอไม่ได้เปิดไฟตั้งแต่เข้าบ้านจนขึ้นบ้านมา มีแค่แสงสลัวจากภายนอก ทั้งหมดเป็นความเคยชินที่เธอใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้มาหลายปี
ประตูห้องแง้มพอที่ตัวเธอจะเข้าไปได้ มีแสงไฟจากโคมหัวเตียง สามีเธอคงหลับสนิท เธอมองไปที่บนเตียง มือเธอเริ่มสั่น บนเตียงไม่ได้มีแค่สามี เธอเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขา ที่หันเกือบชนกับอีกเสี้ยวหน้าหนึ่งที่หันเข้าหาเขา มองผ่านใต้ผ้าห่มผืนบาง เธอเดาได้ว่าขาข้างหนึ่งของสามีก่ายอยู่บนอีกร่างอย่างแนบชิด เธอยืนนิ่ง สะกดเสียงสะอื้น มีแต่น้ำตาที่ไหลพราก เธอไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เธอเห็น
ฉันฝันไป เธอบอกตัวเอง ครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะที่ยืนนิ่งเหมือนหุ่นที่จ้องมองภาพบนเตียง มันต้องเป็นฝันร้ายอย่างแน่นอน มันเป็นไปไม่ได้ ร่างที่อยู่บนเตียงที่นอนก่ายกอดกับสามีเธอ คือ อาผู้ชาย มันเป็นไปไม่ได้ เธอบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอหันหลังเดินจากห้องนอนอย่างเงียบสงบ เธอเสียอีกที่กลัวจะทำให้ทั้งคู่ตกใจตื่นขึ้นมา เสื้อผ้าที่ระเกะระกะอยู่บนพื้น มันบอกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น เธอบอกตัวเอง มันเป็นเรื่องจริง คำถามคือมันนานแค่ไหนแล้ว
ทำไมเธอโง่งมโดยไม่เคยรู้ได้อย่างไร
เธอเดินกลับลงมาชั้นล่าง ขาเกือบหมดแรงที่จะย่างก้าวลงสู่บันไดขั้นสุดท้าย เธอทรุดตัวลงที่พื้นบ้าน ปล่อยให้น้ำตาไหลริน กลั้นเสียงสะอื้นปานว่ากลัวคนข้างบนจะได้ยิน อาผู้ชาย ที่ดูแลเธอมาอย่างดีตลอดเวลาหลายสิบปี ทำไมทำร้ายเธอได้ สามีที่แสนดี อบอุ่น ตามใจเธอมาตลอด แท้จริงตัวตนเขาคืออะไร เขาอาจจะทนอยู่กับเธอ เพราะอา ไม่ใช่เพราะเธอ ความเจ็บปวดแล่นซึมเข้าทุกอณูในร่าง ให้สามีเธอมีผู้หญิงอื่น เธอคงไม่เจ็บปวดเท่าภาพที่เธอเพิ่งจากมา มันเจ็บ เธอคงไม่เคยอยู่ในใจเขา การแต่งงานเพื่อบังหน้า เธอทำงานหนัก ทำให้ชีวิตบนเตียงมีแทบนับครั้งได้ แต่สามีที่รักก็ไม่เคยบ่น ออกอาการเห็นอกเห็นใจ และเข้าใจในความอ่อนล้าของเธอจากงาน เธอยังนึกขอบคุณเขาอยู่เสมอ
เดินออกจากบ้านของเธอเพื่อไปบ้านใหญ่ เธอรู้ว่าเธอคุยปรึกษากับพ่อได้ เธอ กดรหัสเปิดประตูบ้านใหญ่ ทุกอย่างในบ้านเงียบสงัด และมืดมิด เธอเคยมีห้องนอนอยู่บนบ้านหลังนี้ ก่อนที่จะย้ายไปเรือนเล็กหลังแต่งงาน ความคุ้นเคยยังคงมี ต่อให้เธอไม่ได้ขึ้นมาหลายปีแล้วก็ตาม
เธอกัดริมฝีปากจนได้รสของเลือด เธอกลัวเสียงสะอื้นเธอเล็ดลอดออกมา เธอยังมีความหวัง ว่าอาจไม่ใช่อย่างที่เธอคิด อาสะใภ้อาจมีธุระ เข้ามาเพื่อพูดคุยตามปกติกับพี่ชายสามี หรืออาจมาหยิบยืมหนังสือ เธอภาวนา และ หวังในสิ่งที่ลางเลือน เธอไม่ได้ยินเสียงพูดคุย แต่เป็นเสียงครางของชายหญิงในห้องนั้นเล็ดลอดออกมา
ตรงไปห้องพ่อ เธอต้องการอ้อมกอดที่ปลอบโยน ต้องการที่พึ่งพิงในเวลานี้ ประตูห้องพ่อแง้มไว้เล็กน้อย ไอแอร์ผ่านช่องว่างของประตูที่ปิดไม่สนิท เธอกำลังจะเคาะประตู แต่ได้ยินเสียงจากด้านในเสียก่อน เป็นเสียงพ่อ อีกเสียงที่เธอได้ยิน คือเสียงอาสะใภ้ เธอมาทำอะไรที่ห้องพ่อเวลานี้ อาสะใภ้รู้เรื่องสามีตัวเองกับหลานเขยไหม แล้วอาเธอล่ะ รู้เรื่องเมียตัวเอง กับ พี่ชายไหม หรือ ทุกคนในบ้านต่างรู้ความลับของกัน ยกเว้นเธอคนเดียวที่เป็นคนโง่มาโดยตลอด
คำวิงวอนภาวนาขอเธอไม่สัมฤทธิ์ มันไม่เป็นอย่างที่เฝ้าอ้อนวอนต่อทุกสิ่งที่เธอคิดถึงได้ในเวลานี้
เธอรวบรวมแรงก้าวเท้าลงมาจนถึงพื้นชั้นล่าง เธอซุกตัวที่ใต้บันใด ร้องไห้อย่างเจ็บปวดเงียบเชียบ เลือดจากริมฝีปากผสมกับน้ำตา เธอได้รสเค็มคาวของมัน ตัวเธอโยกคลอนตามแรงสะอื้น สติเธอแทบหลุดจากร่าง มันเลวร้ายเกินกว่าที่เธอจะยอมรับได้ว่ามันเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ฝันร้าย
รวบรวมกำลัง ลุกขึ้นยืน ยกแขนเสื้อขึ้นปาดน้ำตา เธอเปิดประตูบ้าน เดินตรงไปที่รั้ว เปิดประตูเล็กเดินออกไปบนถนนหมู่บ้าน เธอหันกลับมาดูบ้านที่เคยเป็นสวรรค์ของเธอ และ มันกลายเป็นนรกฉับพลันเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมา
คืนนั้นเธอเรียกรถไปส่งที่โรงแรม เธอเปิดห้อง เพื่อร้องไห้ทั้งคืน เธอไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร ผู้คนที่เธอรักและไว้ใจ หักหลังเธอพร้อมกัน จะเหลือใครในโลกที่เธอจะไว้ใจได้อีก ไม่รู้เลยว่าชีวิตที่เหลือของเธอจะย่างก้าวต่อไปอย่างไร ทำไมทุกคนโหดร้ายกับเธอ ทำไมโลกทำร้ายเธอ เธอทำผิดอะไรกับพวกเขาหรือ
ร้องไห้จนหมดแรงและหลับไปในที่สุด เธอตื่นขึ้นมาอีกครั้งเกือบ 10 โมงเช้า สามีเธอส่งข้อความถามว่าถึงกรุงเทพฯ กี่โมง เขาจะไปรับ เขายังทำหน้าที่สามีที่ดี อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เธอตอบไปว่าไม่ต้อง
จากคืนนั้น ทุกคนในบ้านไม่มีใครทำตัวผิดปกติ พวกเขาคงคิดไม่ถึงว่าเธอรู้ความลับที่น่าอัปยศทั้งหมด สามียังเสมอต้นเสมอปลาย แต่เธอเองที่ไม่อาจปิดอาการรังเกียจได้ เธอหลีกเลี่ยงที่จะพูดคุยหรือไปไหนมาไหน เธอขอแยกห้องนอน โดยข้ออ้างว่า เธอนอนไม่ค่อยหลับ เขาผู้แสนดีไม่เคยขัดใจเธอ หรืออีกนัยหนึ่งเขาคงยินดี
เขาเสนอตัวย้ายไปนอนห้องเล็ก แต่เธอขอไปนอนห้องเล็กแทน เธอทนนอนบนเตียงที่เธอเคยเห็นภาพอันอุบาทนั้นไม่ได้ เธอไม่ได้ต่อต้านความรักของเพศเดียวกัน แต่ไม่ใช่การทรยศ ใช้เธอเป็นเครื่องมือ
เธอไม่เคยย่างกรายไปที่ตึกใหญ่ ทั้งพ่อและอา โทรหา แสดงความห่วงใย รบเร้าให้เธอไปพบจิตแพทย์ พวกเขามั่นใจว่าเธออยู่ในสภาวซึมเศร้า เธออยากหัวเราะใส่หน้าทุกคนที่บอกว่าเธอเป็นซึมเศร้า
บางครั้งเธอเคยคิดจะพูดมันออกมากับพวกเขาว่าเธอรู้ทุกเรื่อง แต่อะไรที่เธอจะได้กลับมา คำขอโทษ คำสำนึก หรือข้ออ้างว่าหักห้ามใจไม่ได้ หลังจากนั้น อะไรจะเกิดตามมา เธอไม่อาจมองโลกในแง่ดีได้ต่อไปว่าความปกติสุขจะกลับเข้ามาในครอบครัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันเป็นไปไม่ได้ มันคงมีแต่ความอึดอัดใจเสียมากกว่า
เธอเคยคิดไปพบจิตแพทย์ แต่ปัญหาจะได้รับการบำบัดได้จริงหรือ เรื่องเธอซับซ้อนและเจ็บปวดเกินกว่าที่เธอจะถ่ายทอดให้ใครเข้าใจได้ เธอกำลังจะหนีไปอยู่เมืองนอก เธอเริ่มเดินเรื่องเพื่อการบินไปอยู่ที่สหรัฐฯ เพื่อลืมทุกอย่าง และ ตั้งต้นชีวิตใหม่ ทางออกที่ดีสำหรับเธอ และทุกคนในบ้านนี้ หลังจากเธอกำจัดตัวเองให้พ้นทาง
ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำลายแผนการอนาคตของเธอ คือเช้ามืดวันเสาร์ เธอหลับๆ ตื่นๆ ทั้งคืน ได้ยินเสียงเปิดปิดประตูห้องนอนเดิมที่ตอนนี้เธอยกให้สามีอยู่ เธอแอบมองลอดตาแมวจากประตูห้อง สิ่งที่เห็นทำให้ความโกรธปะทุขึ้นถึงขีดสุด อาผู้ชายเปิดประตูออกจากห้องสามี ความละอายของคนมันไม่มีเหลืออยู่เมื่อกิเลสครอบงำ อาที่แสนดีกลับกลายเป็นคนแปลกหน้าที่เธอไม่รู้จัก เธอเดาว่าอาสะใภ้เธอคงรู้เรื่อง ประชดด้วยการมีอะไรกับพี่ชายสามี เมื่อสามีสนองไห้ไม่ได้ พ่อเธอคงโหยหามานาน ตั้งแต่หย่ากับแม่ หรือนี่คือความเห็นชอบและข้อตกลงของคนทั้งสี่ในบ้าน เพื่อหาความสุขให้ตัวเอง มีแค่เธอที่โง่เง่า
สายของวันเดียวกัน เธอมองจากหน้าบ้านไปทางบ้านใหญ่ เธอเห็นพ่อคุยอย่างสนิทสนมกับอาสะใภ้ หัวเราะร่วนทั้งคู่ พ่อเอามือแตะเอวอาสะใภ้พาเดินเข้าบ้าน ถ้าเป็นยามที่เธอไม่ได้รู้เห็นอะไร เธอคงไม่คิดมาก แต่ตอนนี้เธอรู้แล้ว ว่าทั้งคู่เดินเข้าบ้านเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง สามีกับอา ออกไปซื้อของด้วยกัน สามีเดินมาบอกก่อนที่จะออกไป เธอเห็นภาพว่าสามีกับอา มีจุดหมายบางอย่าง เมื่อเห็นภาพพ่อกับอาสะใภ้ เธอสติแตกกับความโสมมที่ซ่อนอยู่ภายใต้ครอบครัวอบอุ่น เธอตัดสินใจจะจบทุกอย่างภายในค่ำนี้ นั่นคือที่มาของเสียงปืน และ 3 ศพ คนทรยศเลวทรามในบ้าน
เธอตัดใจเหนี่ยวไกใส่พ่อตัวเองไม่ได้ พ่อไม่ต่างกับทุกคน แต่เขาคือพ่อ เธอหวังว่าพ่อจะสำนึก เธอทิ้งจดหมายไว้ให้ บอกพ่อว่าเธอรู้ทุกเรื่อง ความเจ็บปวดที่เธอไม่สามารถพรรณนาออกมเป็นตัวหนังสือได้ เธอหวังว่าพ่อจะสำนึกถึงผิดชอบชั่วดี อย่าให้ตัณหามาบดบัง สิ่งที่พ่อให้สัมภาษณ์ เธอหวังว่า พ่อแค่ไม่อยากเปิดเผยเรื่องราวอันน่าอับยศ ไม่ใช่เพราะพ่อต้องการโยนบาปให้โรคซึมเศร้าโดยที่เธอเป็นพาหะของมัน
สิ่งเดียวที่เธออดยิ้มไม่ได้ เมื่อทุกรายงานข่าว สรุปว่าเหตุการณ์น่าเศร้าในครั้งนี้ เกิดจากโรคซึมเศร้า หลอนจากการไม่ได้รับการรักษาหรือกินยาต่อเนื่อง จะมีใครรู้ถึงเบื้องลึกเบื้องหลัง ความส่ำส่อนของสังคม ศีลธรรมที่ถูกบดบังด้วยโลกยุคดิจิทัล เธอสร้างบาปด้วยการฆ่า เธอมาที่แห่งนี้ เพื่อชำระบาปและปลอบประโลมจิตใจตัวเองว่ายังมีครอบครัวสังคมที่อบอุ่นหลงเหลืออยู่ เธอแค่โชคร้าย
พระอาทิตย์ลาลับไปนานแล้ว รอบข้างมืดมิด เห็นแสงไฟจากหมู่บ้านชาวประมงลิบๆ เธอลุกขึ้นยืน เดินอ้อมโขดหินไปอีกฟากของหาดที่ไม่มีบ้านเรือนผู้คน โขดหินแหลมคม ทำเอาเธอได้แผลจากการเหยียบย่ำ มันไม่ได้ทำให้เธอเจ็บปวด เธอเจ็บจนชา พอแล้วสำหรับชีวิตนี้ ไม่มีคนที่เธอรักเหลือที่จะให้เธอบอกลา
เธอเหยียบลงบนผืนทราย ที่ผสมกับกรวดเล็กๆ เธอถอดรองเท้า ไว้ข้างกระเป๋าถือวางบนโขดหิน เธอเดินย่ำบนพื้นทรายลงสู่ทะเล กลิ่นคาวทะเลกระทบจมูก คลื่นแรงซัดเธอออกจากฝั่งอย่างรวดเร็ว เธอเดินต้านคลื่นออกไป ลึกจนเห็นแต่ผมเธอปลิวไสว ผมดำนั้นหายไปในท้องทะเลในที่สุด เฮือกสุดท้ายของลมหายใจ ลาก่อนความเจ็บปวด
ทั้งหมดเธอชดใช้บาปที่กระทำด้วยชีวิต
รายงานข่าววันต่อมา พบกระเป๋าและรองเท้าบนโขดหินใกล้หมู่บ้านประมง ซึ่งทางคุณพ่อจำได้ว่าเป็นของลูกสาวที่ก่อคดียิง 3 ศพ ในบ้าน ในกระเป๋ามี บัตรประชาชน และ เงินสดอีกไม่กี่ร้อย ไม่พบมือถือ มีหนังสือสวดมนต์ หน้าในหนังสือสวดมนต์ เขียนว่า “ให้พ่อ” เป็นบทสวดหิริโอตตัปปะ
ตอนนี้ยังหาร่างไม่พบ พ่อที่ได้เห็นข้าวของของลูกสาว ให้สัมภาษณ์เสียงสะอื้น “ครอบครัวควรเอาใจใส่ซึ่งกันและกันอย่างใกล้ชิด และถ้าพบคนในบ้านมีภาวะซึมเศร้า รีบพาไปรักษาโดยด่วน” ก่อนที่เขาจะพูดต่อว่า
“หวังว่ากรณีนี้จะเป็นกรณีศึกษา และ เป็นเคส สุดท้ายที่จะเกิดขึ้น”
ผู้เล่าข่าวกล่าวสรุป ทางเราขอแสดงความเสียใจต่อคุณพ่อที่สูญเสีย ขอให้คุณพ่อเข้มแข็ง