เรื่องสั้น ปลดปล่อย เขียนโดย หิมะแดง เรื่องของหญิงสาวที่เกลียดสังคมและเห็นความทุกข์ทรมานเด็กที่ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ เธอจึงเริ่มปฏิบัติการปลดปล่อยเด็กเหล่านั้น ขณะเดียวกันปฏิบัติการของเธอเป็นการปลดปล่อยตัวเองในฐานะจิตวิญญาณ สะเทือนอารมณ์ในโลกสีเทาที่แม้แต่พระเจ้าก็ไม่อาจเอื้อมพระหัตถ์ถึง
เช้าวันนี้เป็นอีกเช้าที่เหมือนทุกๆ วัน ตื่นมาเพื่อรีบร้อนทำกิจวัตรประจำวันอย่างเร่งด่วนเพื่อไปทำงานที่แสนจะน่าเบื่อมามากกว่า 10 ปี ยังคงมีอาการปวดหัวซึ่งเป็นถี่ขึ้นในช่วงหลัง วันนี้ก็เป็นอีกวันที่กินยาหลังจากกาแฟเพื่อบรรเทาความปวด
“จันมาแล้วหรือ” อรทักขณะรอขึ้นลิฟท์ขึ้นไปยังชั้นสำนักงาน
ทั้งสองเดินเข้าไปในลิฟท์ด้วยกัน พร้อมคนอื่นๆ ที่ยืนรอ ความเงียบในลิฟท์เป็นเรื่องปกติ ทุกคนพยายามไม่สบตากัน
ประตูเปิดที่ชั้น 23 อรเริ่มคุย “เธอ เห็นข่าวไหม มีเด็กตายอีกแล้ว” จัน หันกลับมาถามว่าหรือ ที่ไหนล่ะ
“ก็ที่สวนสาธารณะ ใกล้ๆ คอนโดไง”
“ผู้หญิง หรือ ผู้ชายล่ะ”
“ผู้ชายแหละ เห็นว่า 3 หรือ 4 ขวบ อยู่คอนโดใกล้ๆ เล่นกับเพื่อนหลังเลิกเรียนแล้วไม่กลับบ้าน แม่ตามหาจนเจออยู่ในพุ่มไม้”
“น่าสงสารจัง เขาว่าเหมือนถูกรัดคอ คล้ายๆกับ เดือนที่แล้วที่เจอแถวใต้สะพานเลย”
“คนสมัยนี้ใจร้ายจัง” อรว่าต่อ แต่จัน เดินแยกไปที่โต๊ะทำงานเสียก่อน
ถึงเธอจะเบื่องาน แต่เธอชอบงานที่ทำอยู่นี้ เพราะเธอไม่จำเป็นต้องพบปะกับผู้คน หรือเสวนามาก เธอแค่รายงานให้หัวหน้าของเธอซึ่งก็ไม่ใช่คนพูดมาก แค่ส่งงานให้ตรงกำหนดและถูกต้อง ก็ไม่มาวุ่นวายกับเธอ มันทำให้เธอยังทำงานนี้และอยู่ได้มากว่า 10 ปี
อาการปวดหัวยังอยู่ แต่เธอกลับไม่ทุกช์ร้อนกับมัน จันรู้สึกถึงความสุขในใจเธอลึกๆ ซึ่งเธอเพิ่งค้นพบความสุขลึกๆนี้ไม่นาน
ตั้งแต่เล็ก เธอไม่มีความโดดเด่น ทุกอย่างในชีวิตเธอคือกลางๆ หน้าตาธรรมดาๆ พื้นเพครอบครัวก็เป็นข้าราชการระดับกลาง เรืยนหนังสือเก่งกลางๆ จบมากลางๆ คนที่มาพบปะเธอเป็นครั้งที่ 2 หรือ 3 ก็ยังจำเธอไม่ได้อยู่ดี ชีวิตไม่มีตัวตน ตั้งแต่พ่อแม่เสียไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ทำให้เธอคิดว่าถ้าวันหนึ่งเมื่อเธอตาย กว่าจะมีคนมาพบร่างเธอคงหลายวัน เพราะปกติก็ไม่มีใครที่มาคบหาเธออยู่แล้ว เธอเคยคิดเล่นๆ ว่าต้องเป็นหัวหน้าที่ทำงานที่จะพบศพเธอแน่นอน เพราะเป็นคนเดียวที่จะตามหาเธอ เมื่อครบกำหนดส่งรายงาน อย่างน้อยเธอก็มีความสำคัญอยู่ข้อหนึ่ง ทำให้เธอมีรอยยิ้มที่มุมปากนิดๆ
เธอไม่เคยคิดเกลียดสังคมหรือโทษใครๆ เธอคิดว่าเป็นเรื่องปกติ คงมีคนแบบเธออีกมากมายในสังคมเมือง เธอมีที่ซุกหัวนอนในคอนโดระดับกลาง ซึ่งได้มาจากการขายบ้านของพ่อแม่ แล้วมีเงินเหลือในธนาคารเผื่อยามฉุกเฉิน ซึ่งเธอมีความพอใจกับชีวิต จนกระทั้งเมื่อ 4 เดือนที่แล้ว มีสิ่งที่กระตุ้นให้เธออยากฝากชื่อเป็นที่จดจำ และปลดปล่อยผู้บริสุทธิ์ตามความสามารถและกำลังที่เธอทำได้ เหมือนชีวิตมีเป้าประสงค์ มีสารหลั่งไหลในร่างทำให้มีพลุ่งพล่าน ความตื่นเต้นเกิดขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตลอดชีวิตที่ราบเรียบ แต่ใครล่ะที่เธอควรปลดปล่อย เป็นคำถามที่ต้องหาคำตอบ เพื่อการกระทำเธอนั้นจะมีประโยชน์สูงสุด
เย็นวันนั้นในเดือนที่แล้ว เธอกำลังเดินกลับห้องพัก ระหว่างทาง เธอเห็นชายคนหนึ่งกำลังตีเด็กชายตัวเล็กๆ ด้วยฝ่ามือ โดยมีผู้หญิง คาดว่าเป็นแม่ยืนอยู่ข้างๆ พยายามฉุดผู้ชายไว้ แต่ผู้ชายหันกลับมากำหมัดต่อยเธออย่างแรงที่หน้าและท้อง ขณะที่เด็กยังร้องไห้อย่างหนัก ชายคนนั้นหันกลับมาตบเด็กอย่างแรงอีกหลายครั้ง จนผู้เป็นแม่คลานเข้าไปกั้น มีคนเดินผ่านไปมา 3-4 คน แต่แน่นอนไม่มีใครอยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว จันรีบโทร 191 แต่จนชายคนนั้นเดินจากไปจากคู่แม่ลูก สาย 191 ก็ยังคงไม่ว่าง เธอถอนใจกับคุณภาพสังคม เดินผ่านร้านขายกับข้าวสำเร็จรูป ได้ยินเสียงแว่วๆ ที่แม่ค้ากับลูกค้าคุยกัน ว่าสงสารเด็กน้อย เป็นลูกติดแม่ พอพ่อเลี้ยงอารมณ์เสีย น้องก็เป็นที่รองรับหมัดตีน แม่ก็ทำอะไรไม่ได้ มีคนแจ้งตำรวจก็แค่มาไกล่เกลี่ย จับพ่อเลี้ยงไป ไม่กี่วันก็ออกมา และอีกไม่กี่วัน ภาพการทำร้ายก็ฉายซ้ำ จนชาวบ้านชินชาเพระไม่รู้จะช่วยยังไง
จันคิดถึงแววตาหนูน้อย ที่ทั้งหวาดกลัว เจ็บปวด และเปื้อนด้วยน้ำตา ชีวิตเด็กคนนี้คงทรมานและไม่รู้ว่าต้องทนทุกข์ไปอีกถึงเมื่อไหร่ ฉันต้องช่วยเจ้าเด็กนั่นให้ได้ เธอตั้งใจอย่างแน่วแน่
เช้าวันอาทิตย์ เธอตื่นมาด้วยความอ่อนเพลีย แต่จิตใจกลับรู้สึกได้ถึงพลังที่สั่นไหวข้างในแบบไม่เคยเป็นมาก่อน เธอลุกจากเตียง ฮัมเพลงในคอไปห้องน้ำ 11 ใมงแล้ว เธอลงไปร้านข้าวข้างคอนโด สั่งอาหาร ระหว่างรอ แม่ค้ากำลังคุยอย่างออกรสกับลูกค้าที่อยู่ในร้านเกี่ยวกับศพเด็กที่อยู่ใต้สะพานข้ามเนิน เช้าตรู่คนเก็บของเก่าไปเจอ กู้ภัยกับตำรวจมาเก็บร่างหนูน้อยไปแล้ว ทุกคนลงความเห็นว่าต้องเป็นพ่อเลี้ยงแน่ที่บีบคอหนูน้อยจนตายแล้วนำศพไปซ่อนใต้สะพาน จันหันไปถามป้าเจ้าของร้าน ว่าเขายอมรับหรือ ป้าหันมาตอบ บอกไม่รับ และตามด้วยคำด่าอีกยาวเหยียด
จันหิ้วถุงข้าวแกว่งในมือ ฮัมเพลงกลับห้องด้วยความรู้สึกอิ่มเอมที่เธอไม่เคยรู้สึกมาก่อน ปลดปล่อยดวงวิญญาณน้อยๆ และให้คนบาปได้รับโทษ เมื่อคืน เธอเจอเด็กน้อยกึ่งเดินกึ่งวิ่ง เธอเลยจูงมือพาไปแอบที่ใต้เนินสะพาน เวลา 3 ทุ่ม ไม่ได้ดึกมากแต่ก็เงียบสงัด ไอ้พ่อเลี้ยงคงไม่ตามหาเด็กแน่นอน กว่าแม่จะกลับคงอีกสักพัก เด็กบอกแม่ไปทำงาน เธอบรรจงเอาผ้าขนหนูผืนเล็กพันมือ และกำคอเด็กน้อยแน่นขึ้นเรื่อยๆ แรกๆ ก็ดิ้น จนแรงค่อยๆ หายไปจนเงียบลง เธอเอามือแตะจมูกเพื่อความมั่นใจว่าสัญญานชีพได้รับการปลดปล่อยแล้ว บรรจงดึงร่างเข้าไปแอบข้างๆพงหญ้า ไม่ได้คาดหวังว่าจะไม่ให้ใครพบ เธอตั้งใจเช็คร่างนั้นด้วยผ้าขนหนูให้มั่นใจว่าไม่มีรอยนิ้วมือเธอหลงเหลือ เธอมองไปรอบๆ และเริ่มวิ่งโดยมีผ้าขนหน้ผืนนั้นคล้องอยู่บนคอ เหงื่อที่ไหลจากหน้าผากลงมาสู่แก้มและลำคอไม่ได้ทำให้จันรู้สึกรำคาญกลับทำให้สดชื่นและผ่อนคลาย ผสมกับความปิติที่เธอภูมิใจลึกๆ ว่าได้ปลดปล่อยวิญญาณที่บริสุทธิ์ให้พ้นจากความเลวร้ายและทรมานในภพนี้
จันไม่เคยต้องเสียเวลามองหาวิญญาณต่อไปที่เธอต้องปลดปล่อย แค่รอบๆ ตัววเธอ ทำให้เธอแทบไม่มีเวลาว่างจากการช่วยปลดปล่อย ความเงียบเหงาในชีวิตได้โบยบินจากไป เธอใช้เวลาในการวางแผนปฏิบัติการ
รายที่ 2 ตามมาในเวลาสองสัปดาห์ เด็กที่เกิดมาไม่ปกติและต้องเป็นภาระตลอดชีวิตกับครอบครัว ไม่ควรต้องอยู่เพื่อทรมานคนรอบข้างและตัวเอง จันคิดว่าถ้าวันหนึ่งพ่อแม่จากไปก่อนล่ะ อะไรจะเกิดขึ้นกับเด็กที่โตขึ้นมาและไม่มีความสามารถในการอยู่รอดได้ด้วยตัวเอง มันจะทรมานเพียงใด คูน้ำในพงรกข้างสนามเด็กเล่นเป็นที่ปลดปล่อยเด็กที่ไม่ควรอยู่ทนทุกข์ จันล่อให้เด็กเดินจากสนามเด็กเล่นเข้ามาในพงคูน้ำ ระหว่างพี่สาวของเด็กน้อยกำลังวิ่งเล่นห่างออกไปกับกลุ่มเพื่อนโดยไม่สนใจน้องชายตัวน้อยที่แอบอยู่ข้างกระดานเลื่อน เอามือจับหน้าคว่ำลงในคูน้ำตื้นๆ ไม่ใช่เรื่องยากที่จะปลดปล่อยความทุกข์ในโลกนี้ให้เด็กน้อย เมื่อร่างนิ่งสงบ จันก็เดินออกจากพงหญ้า และเริ่มวิ่งด้วยเสื้อยืดทีชุ่มด้วยน้ำแต่ใครเห็นคงคิดว่าเป็นเหงื่อจากการออกกำลังกาย
สีหน้าเปื้อนยิ้ม คงทำให้ผู่พบเห็นรู้สึกว่าสาวคนนี้มีความสุขกับการวิ่ง แต่ในตัวเธอ รู้สึกได้ถึงการเต้นแรงของหัวใจ เลือดดูเหมือนจะฉีดพล่านไปทั่วตัว มันเป็นการปลดปล่อยที่เริ่มสมบูรณ์แบบมากขึ้น สวมถุงมือจับหัวกดน้ำช่างง่ายดาย ที่สำคัญเมื่อออกปฎิบัติภารกิจ ไม่ควรพกพาสิ่งไม่จำเป็นหรืออุปกรณ์มากไป เพราะมันสามารถตกหล่นเป็นหลักฐานได้ จันว่าเป็นเรื่องง่ายๆ แต่โดยส่วนมากผู้ปฎิบัติการมักละเลยการเตรียมการ
จันมั่นใจว่าสามารถปลดปล่อยความทุกข์ของดวงวิญญาณที่ไม่พร้อมจะอยู่ต่อบนโลกนี้ได้อีกมากมาย เธอเป็นผู้หญิงแสนธรรมดาดูไม่มีพิษภัย ไม่มีแรงจูงใจใดๆ ใครจะมาสงสัยเธอล่ะ
สุดท้ายเธอค้นพบคำตอบแล้วว่า เธอเกิดมาทำไม นี่แหละคือภารกิจของเธอ เกือบ 30 ปี สุดท้ายเธอค้นพบแล้ว มันไม่สายเกินไปเลย เธอหัวเราะออกมาด้วยดวงตาเป็นประกายความสุข
จันยังดำเนินชีวิตเป็นปกติ เหมือนก่อนที่เธอจะปฏิบัติการปลดปล่อย แต่ที่เปลี่ยนไปคือความสุขและกระตือรือร้นกับการมีลมหายใจอยู่ในโลกใบนี้ เธอเรียนรู้ว่า ชีวิตที่ไม่สมควรแม้กระทั่งกำเนิดมา เมื่อดับไปแล้ว มันจะเหมือนสสารที่สลายไป หรือแม้แต่สร้างความโล่งใจให้คนรอบข้างที่ยังหายใจอยู่ เธอดำเนินการมากกว่า 10 ร่าง ตั้งแต่ ที่เธอเริ่มสร้างสรรคความช่วยเหลือเพื่อให้หมดทุกช์ แต่แทบจะไม่เคยมีครอบครัวหรือเจ้าหน้าที่ ที่จะสนใจอย่างจริงจัง บางกรณี ก็รีบปิดจบอย่างง่ายดายว่าเด็กน้อยลื่นล้มในคูเล็กๆ แต่ขาดความสามารถในการเอาตัวรอดที่จะลุกขึ้น หน้าที่คว่ำอยู่จึงขาดอากาศหายใจ สำหรับเด็กน้อยต่างด้าวที่พ่อแม่ดิ้นรนเข้ามาในบ้านเรา เพื่อสร้างอนาคตยิ่งง่ายดายต่อการปิดคดี ครอบครัวไม่อยากเสียเวลาเพื่อการสอบสวน เด็กก็ไปดีแล้ว คนที่อยู่สิที่ยังต้องดิ้นรน การขาดงานคือการขาดรายได้ ส่วนเจ้าหน้าที่เอง ก็รู้สึกงานล้นมือ กรณีเล็กๆ น้อยๆ จบได้คือจบ เพื่อเอาสมองและเวลาไปทำคดีที่เป็นที่สนใจ โดยเฉพาะถ้าได้ออกสื่อ
นี่คือการเรียนรู้ของจัน ในการเลือกผู้ที่จะได้รับการปลดปล่อย วิญญาณดวงแล้วดวงเล่า ยิ่งทำให้เพิ่มความเชื่อว่าเธอเป็นผู้ช่วยให้หลุดพ้นจากโลกที่เด็กๆ พวกนี้ไม่ควรต้องทนทุกข์อยู่ต่อไปอีกนับสิบๆ ปี
การหาผู้ถูกปลดปล่อย ขยายวงกว้างออกไปจากชุมชนที่พักอาศัย หลังจากเธอสำรวจแล้วว่าไม่มีเด็กน้อยที่น่าสงสารรอยู่รอบบริเวณ หลังจากร่างที่ 6 จันคิดว่าจะยุติแค่นั้น แต่เธอกลับกระสับกระส่ายยามค่ำคืน นอนไม่หลับ เซื่องซึมกว่าก่อน ยามเช้าที่ตื่นมาอาการปวดหัวจะเกิดขึ้นอย่างรุนแรง เธอว่าเพราะเธอนอนไม่หลับ และความรู้สึกผิดที่ยุติหน้าที่ในการปลดปล่อยเสียงก่นด่าตัวเธอที่ละทิ้งหน้าที่แว่วอยู่ในหูตลอดค่ำคืน หรือแวบขึ้นมาแม้กระทั้งเวลาทำงาน เธอเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ว่าเธอต้องดำเนินการต่อไป ยุติไม่ได้ เพราะนี่คือหน้าที่ ที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ เด็กๆ อีกมากมายรอคอยเธออยู่
หลังเลิกงานในแต่ละวัน เธอจะไปเยือนชุมชนแออัดรอบนอกเมือง เพื่อหาสิ่งที่เธอใช้เลือก สืบเสาะหาน้องที่ทรมานจากครอบครัว เพื่อเธอจะได้ปลดปล่อยดวงวิญญาณเหล่านั้น การเปลี่ยนชุมชน คือการป้องกันความผิดพลาดที่จะมีผู้จดจำเธอได้ ผู้หญิงบ้านๆ ธรรมดาๆ ไม่เป็นจุดสนใจในชุมชนแออัด เธอยังใช้วิธีการเหมือนที่ทำคือการพาเด็กไปในที่เปลี่ยวด้วยขนม เวลาที่เปลี่ยวผู้คน ทำให้เหมือนอุบัติเหตุ สะดุดหัวฟาดพื้น คว่ำหน้าจมหนองน้ำตื้นๆ มันทำให้กลายเป็นอุบัติเหตุเพราะขาดการดูแลจากครอบครัว
จันจะดูให้มั่นใจก่อนปฎิบัติว่าเด็กน้อยที่เธอเลือก คือผู้สมควรได้รับการปลดปล่อย เด็กที่ขาดผู้ใหญ๋ใกล้ตัวดูแล ปล่อยให้วิ่งเล่น เนื้อตัวสกปรก หลัง 2 ทุ่ม ยังอยู่นอกบ้าน โดยไม่มีใครสนใจ เด็กที่ไม่สมบูรณ์ สามารถเห็นได้จากกายภาพ
หลังเสร็จสิ้นและกลับถึงห้อง เธอมีความอิ่มเอมเหมือนได้ทำบุญใหญ่ จันรีบอาบน้ำ สระผม และสวดมนต์ อุทิศส่วนกุศลเพื่อให้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี หรือไม่ต้องเกิดอีกเลย โดยที่เธอจะระลึกถึงใบหน้าของเด็กน้อย สีหน้าสุดท้ายมีทั้งงุนงง ยิ้มแย้มเพราะคิดว่าคือเกมที่พี่สาวใจดีมาเล่นด้วย เธอไม่ได้เข้าข้างตัวเอง แต่ยังไม่เคยเห็นความหวาดกลัวในแววตาของเด็กน้อยแม้คนเดียว มันคือเหตุที่จันเลือกปลดปล่อยเด็กเล็กๆ เพราะความบริสุทธิ์ในจิตใจของเด็กน้อยเหล่านั้น ทำให้จบอย่างสงบสุข ปราศจากความหวาดกลัวในแววตา
งานเธอเหมือนเดิม จันไม่ได้เดือดร้อน ที่เพื่อนรุ่นเดียวกัน หรือเริ่มงานไล่เลี่ยกันจะได้เลื่อนตำแหน่ง หรือโยกย้ายงานไปที่ใหม่เพื่ออนาคตหรือรายได้ที่เพิ่มขึ้น จันเชื่อว่า งานคือสิ่งที่ต้องทำเพื่อยังชีพ และตราบใดเธออยู่ได้อย่างสันโดษและพอใจกับสถานะที่เป็นอยู่ หัวหน้าไม่ได้กดดันเพื่อให้เธอขยับตำแหน่ง เธอก็พอใจที่จะทำไปเรื่อยๆ ต้นปีที่จะถึง อรซึ่งเป็นคนเดียวที่จันคุยด้วยเป็นครั้งคราว จะแต่งงานและลาออกไปอยู่กับสามีที่ต่างจังหวัด จันกลับไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยว แต่กลับรู้สึกโล่ง หลายๆ ครั้งเธอก็รำคาญ ความช่างพูด ซอกแซกของอร อีกใจก็ยินดีกับอร เพราะเธออยากแต่งงานมานานแล้ว
อร มาชวนเธอ ไปกินข้าวเที่ยง อรทำงานเป็นวันสุดท้าย เย็นนี้เพื่อนๆ จะไปเลี้ยงส่ง จันอ้างว่าเธอติดธุระไปไม่ได้ตอนเย็น เธอจึงไม่ปฎิเสธมื้อเที่ยง ทั้งสองเลือกร้านส้มตำ ไก่ทอด อรดูมีความสุข เหมือนที่ว่ากันว่า ราศีเจ้าสาวจับ ทั้งความอิ่มเอิบ คงมาจากความสุข อรเล่าถึงว่าที่สามี ซึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง
“จัน เราโชคดีมากนะ พี่เขาเคยแต่งงานแล้ว เขาบอกว่าไม่คิดจะแต่งอีก เข็ด จนเจอเรา”
จัน พยักหน้ารับ โดยที่เธอไม่ได้ใส่ใจจดจำในเรื่องที่อรเล่าให้ฟัง
“เรา ดีใจด้วยนะ ที่เธอได้คู่ที่ดี” จันพูดหลังจากที่เธอจ่ายค่าอาหารแล้ว เป็นการเลี้ยงส่งอร
อรให้เธอสัญญาว่าจะไปงานแต่งงานเธอ อีก 2 อาทิตย์ ข้างหน้า จันพยักหน้ารับ แต่เธอตั้งใจฝากซองไปกับหัวหน้างานเธอ
ข่วงบ่าย จันพักสายตาจากหน้าจอ เธอคิดถึงสถานที่ต่อไปเพื่อปฎิบัติการ นอกจากใกล้สถานที่เธอพักอาศัย จันไม่เคยลงมือซ้ำที่เดิม เพื่อหลีกเลี่ยงกปัญหา แต่ 15 ราย ในรอบ 9 เดือน ในสถานที่ต่างๆ กัน มันไม่ทำให้ใครรู้สึกผิดปกติในการจากไปของน้องเหล่านั้น ด้วยการกระจายพื้นที่ แต่เธอก็เริ่มรู้สึกพื้นที่ใน กรุงเทพที่เป็นเป้าหมายแคบลงไป การปลดปล่อยไม่ควรจะอยู่ในวงแคบๆ ในเมืองกรุงเท่านั้น เด็กๆ รอบนอกยังรอความช่วยเหลือของเธอ จันพยายามคิดถึงสถานที่ที่เคยไป และมีความประทับใจในอดีต ทะเล นกนางนวล เป็นภาพที่เธอหลับตามองเห็น “บางปู” สถานที่สวยงาม โรงงานมากมาย เป็นที่สมบูรณ์ที่จะหาผู้ถูกปลดปล่อยในบรรยายกาศสวยงาม ช่างเหมาะเจาะจริงๆ
ต้องไปสำรวจสุดสัปดาห์นี้ เธอตั้งใจกับตัวเอง จันหันกลับเข้าหาหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อทำงานต่อ
เย็นวันเสาร์ จันยืนมอง นกนางรวลที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้า ลมโชย เด็กวิ่งเล่น พ่อแม่นั่งบนเสื่อ บางบ้านมาพร้อมอาหาร แต่อีกหลายครอบครัว นั่งทานอาหารที่ร้านริมทะเล เสียงเพลงเก่าแว่วๆมา ดูทุกคนมีความสุข เด็กๆ หัวเราะร่า ผู้ใหญ่นั่งดื่มกิน จันรู้สึกหงุดหงิด ดูเธอจะมาผิดที่เสียแล้ว ใช่สิ มันเป็นสถานที่พักผ่อน คนมาเพื่อพักผ่อน คงไม่ใช่เป้าหมายที่เธอต้องสงเคราะห์ แดดอยู่ที่ขอบฟ้า กำลังจะหายลับ เธอยังยืนนิ่งรับลมดูนกบินไปมา อีกสักพักเธอจะเดินไปถนนใหญ่ไปขึ้นรถกลับที่พัก รออีกสักพัก จันมองเห็นหลายๆ คน เริ่มเก็บของ ม้วนพลาสติกที่ปูพื้น เก็บขึ้นรถ เสียงเรียกลูกหลานให้กลับบ้าน รถค่อยๆ ทยอยออก สองข้างทางที่จอดรถที่เคยแน่นหนา เริ่มเบาบางลง แต่ร้านอาหารคนยังคึกคัก ใช่แล้วเธอคาดผิด นี่จะเป็นครั้งแรกที่จันพลาดในการหาสถานที่ลงมือ รถบางตาลงมาก คู่หนุ่มสาวที่เดินเพื่อไปถนนใหญ่ขึ้นรถประจำทางกลับบ้านเหมือนเธอ น่าจะทยอยกลับกันหมดแล้ว เธอเริ่มเดินมุ่งหน้าออกถนนใหญ่ ข้ามสะพานเล็กๆ
ทันไดนั้น เด็กมอมแมมหื้วพวงขนมวิ่งมาที่เธอ สิ่งชัดเจนคือเป็นเด็กน้อยต่างด้าว เธอไม่ได้ชอบถั่วต้ม หรือ ถั่วทอดที่เด็กพยายามให้เธอซื้อ เด็กน้อยดูเหนื่อยล้า มอมแมม ผิวคล้ำมาก ทำให้แวบแรกที่เห็น เธอไม่ทันเห็น รอยแนวยาวบนแขนทั้งสองข้าง คิ้วซ้ายที่มีรอยซ้ำ แก้มมีรอยแผลยาว
“ถุงเท่าไหร่” จันถาม “30 – 4 ถุง 100 ซื้อหน่อย“ สำเนียงแปร่งๆ ตามที่คาด ต่างด้าวแน่นอน
“พ่อแม่ อยู่ไหน” เด็กน้อย ตอบ “เดี๋ยวมา ซื้อหน่อย”
“เดี๋ยวโดนตี ซื้อหน่อย”
จันมองไปรอบๆ เธออยู่ห่างจากร้านอาหารที่ยังมีแสงไฟ เธอยืนอยู่ใต้แสงไฟมืดสลัว ถ้าเธอลงเนินไปอีกนิด หากมองจากร้านอาหารจะไม่เห็นเธอ จันพยักหน้าให้เด็กเดินตามเธอ ตามทางลาดของสะพานข้ามร่องน้ำเล็กๆ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าใต้สะพาน ร่องน้ำเชื่อมออกทะเลเวลาน้ำขี้น ช่วงน้ำลงจะเป็นพื้นเปียกและเป็นหลุมเล็กๆ ที่มีน้ำขัง ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับจัน กับความถนัดที่ผ่านมาหลายครั้งในการจับเด็กกดหน้าในหลุมที่มีน้ำขังอยู่ สักพัก จันเดินออกจากใต้สะพาน มุ่งหน้าออกถนนใหญ่ มีแสงไฟจากรถที่มุ่งหน้าออกถนนใหญ่ สาดมาตามถนนด้านหลังเธอ 2 ครั้ง แน่นอนจันรู้ว่าไม่มีใครสนใจเธอที่แสนจะธรรมดาไม่มีจุดเด่นอะไร มอเตอร์ไซค์ ขับสวนเข้ามา เป็นคู่ชายหญิง จันแวบคิดว่าอาจเป็น พ่อแม่เด็กน้อยขายขนม เขาจะเสียใจไหมนะ ไม่มีแหล่งทำเงินให้อีกแล้ว เธอพึมพำกับตัวเอง “ไปดีนะ โลกไม่น่าอยู่หรอกหนู”
ชีวิตจันดำเนินต่อไปเป็นปกติ มีการปลดปล่อยบ้างเป็นครั้งคราว เธอเริ่มเฉยชา ความตื่นเต้นน้อยลงไปตามลำดับ เธอรู้สึกมันกลายเป็นงานประจำและหน้าที่ ทุกอย่างในโลกนี้การทำซ้ำๆ หรือ หน้าที่ ความตื่นเต้นเร้าใจจะลดลงไปตามลำดับ หลายอาทิตย์ที่ผ่านมา เธอไม่ได้ปลดปล่อยและไม่มีแรงจูงใจในการหาเป้าหมาย ความสงบและผ่อนคลายหลังปฎิบัติการที่นอนหลับได้อย่างดีจากเธอไป จันกลับมานอนไม่หลับอีก กระสับกระส่ายตลอดคืน ไม่มีฝันร้าย แต่ความคิดว่าการปลดปล่อย มันใช่แล้วหรือสำหรับการอยู่บนโลกนี้ มันวนเวียนอยู่ในความคิดเธอตลอดเวลา
“นี่เธอ วันก่อนคุยกับอร เสียงไม่ดีเลย เธอเคยคุยกับอรไหม” หญิงที่อยู่แผนกการตลาด ถามสาวแอดมิน
“เคย ต้นเดือนที่แล้ว อรร้องไห้ด้วยล่ะ”
“ทำไม มีเรื่องอะไร” สาวแอดมิน สนิทสนมกับอรมากกว่าคนอื่น
“ไม่แน่ใจนะ เหมือนแฟนเธอจะไปมีผู้หญิงอื่น”
“อะไร ยังไม่ทันข้ามปีเลย”
“นั่นสิ หนูก็ไม่รู้รายละเอียดค่ะพี่”
จันจับใจความได้แค่นี้ เธอคิดในใจ ชีวิตที่มีความสุขไม่มีจริงในโลก เธอไม่ใช่เพื่อนสนิทของอร ดังนั้น เธอไม่เคยติดต่ออรตั้งแต่ออกไปแต่งงาน แต่ อรก็เป็นคนเดียวที่อดทน และผูกมิตรกับเธอ
จันรู้สึกเห็นใจอร ขึ้นมา ย้อนคิดถึงมื้อเที่ยงที่เธอเลี้ยงส่ง หน้าเปี่ยมด้วยความสุข และความดีใจ ยกย่องว่าที่สามีที่เธอไม่ได้ตั้งใจฟัง แต่รับรู้ได้ถึงสุขและสมหวังที่อรมี จันคิดกับตัวเอง “ฉันเข้าใจ ความเลวร้ายของชีวิตไม่ผิด” ไม่คาดหวัง จะไม่ผิดหวัง ปีใหม่ใกล้เข้ามาหรือว่าเธอควรไปเยี่ยมอรช่วงปีใหม่ ถึงอรไม่ใช่เพื่อนแต่เป็นคนเที่เธอคุยด้วยมากที่สุดในช่วงชีวิตทำงาน และอรก็ยังส่ง ข้อความมาให้เธอไม่เคยขาด แม้ว่าเธอไม่เคยตอบกลับ จันอ่านทุกข้อความของอร มันเป็นการใช้เวลาว่างของเธอ อ่านเพื่อฆ่าเวลาว่างที่แสนน่าเบื่อ แต่เท่าที่จำได้ อรไม่เคยพูดถึงสามีเธอเลย ตั้งแต่เธอแต่งงานไปเกือบปี จันตั้งใจใกล้ๆ ปีใหม่จะถามอร เรื่องที่อยู่
จันมองออกไปทางหน้าต่างห้องพักของเธอ มันไม่ได้มีวิวอะไรที่สวยงาม พงหญ้ารก ลิบๆ ออกไป เป็นตึกที่พัก รูปทรงเป็นแท่งๆ ไม่ได้สวยงาม ใจเธอทบทวนถึงอร ทั้งคู่อายุใกล้เคียงกัน แต่อรเป็นคนพูดเก่ง แววตาสดใสร่าเริง
แน่นอน จันไม่เคยถามถึงภูมิหลังของเธอ น่าจะเป็นสิ่งที่อร สบายใจคุยกับเธอ เพราะไม่ซอกแซก เหมือนคนอื่นๆ ที่อยากรู้ชีวิตคนอื่น จันคิดว่าอย่างน้อย เธอกับอรก็มีบางอย่างความคล้ายกัน คงไม่เลวร้ายนักที่เกือบจะมีเพื่อนในชีวิตสักคน
เธอตัดสินใจจะวางมือจากการเป็นผู้ปลดปล่อย เธอเริ่มเบื่อหน่าย หลังปีใหม่จะต้องมองหาสิ่งเร้าใจใหม่ ที่มีคุณค่าต่อโลกนี้
เช้าวันแรกของปี จันตักบาตร จากการเตรียมการของนิติบุคคล สำหรับผู้พักอาศัยได้ทำบุญ เธอจะไปเยี่ยมอร ซึ่งเธอได้รับที่อยู่จากอร และนัดหมายกัน เมื่อสัปดาห์ก่อน
เธอเดินผ่านกลุ่ม เพื่อนบ้านที่นั่งล้อมวงดื่มกาแฟ และขนมที่ทางนิติฯ จัดไว้ให้ เสียงลุงที่อยู่ชั้นล่าง เปิดแผงเครื่องดื่มข้างๆ สำนักงานนิติฯ “เห้อ รับปีใหม่เลย คนสมัยนี้ รู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ” เสียงลุงดังขั้นมา พอดีลุงหันมาทางจันที่กำลังจะเดินกลับห้องพัก
“หนู มาดื่มกาแฟ กินขนมกัน” ลุงร้องเรียกขัน คนอื่นๆ รีบร้องเรียกสนับสนุน ให้จันมานั่งร่วมวง จันปฎิเสธไม่ได้ เพราะเสียงเรียกค่อนข้างมาก เธอไม่อยากทำตัวให้แปลกแยกมากไป เธอเดินไปรินกาแฟ และหยิบขนมชิ้นเล็กๆ เดินกลับมานั่ง บนม้านั่งพลาสติก แถวหลังที่ยังว่างอยู่
โทรทัศน์อยู่ข้างหน้า รายการข่าวยอดนิยม กำลังรายงานข่าว โดยบรรยายอย่างออกรส “ภรรยา รัดคอลูกเลี้ยง 2 คน ตายคาเตียงก่อนพ้นเที่ยงคืน เพื่อเข้าปีใหม่” สาเหตุคือ แค้น ที่สามี พ่อของลูกติด ทิ้งลูกไว้ให้เมียสาวดูแลตลอดเวลา ส่วนตัวผู้ชายใช้ชีวิตกับสาวๆ นอกบ้านไม่เคยซ้ำ ทำตัวเหมือนเป็นชายโสด จนถึงคืนวันสิ้นปี ภรรยาสาวที่ต้องอยู่ดูแลลูกเลี้ยง เธอคงเครียด ตำรวจค้นพบยาคลายเครียดและบัตรคนไข้อยู่ในลิ้นชักห้องนอน เมียสาวผสมยานอนหลับให้ลูกเลี้ยงกินและใช้ผ้าพันคอรัดคอจนขาดอากาศหายใจ หลังจากนั้นเมียสาวลงมานั่งรอสามีกลับบ้าน ชาวบ้านได้ยินเสียงกรีดร้องตอน ประมาณตี 5 เพื่อนบ้านกำลังจะออกไปตักบาตร จึงวิ่งออกมาดู เห็นร่างผู้ชายนอนคว่ำอยู่ในรั้วบ้านตัวเอง เลือดมากมายออกจากแผ่นหลัง นองบนพื้นซีเมนต์ เพื่อนบ้านรีบโทรแจ้งมูลนิธิ ไม่นานนัก เจ้าหน้าที่ก็ถึงที่เกิดเหตุ
เมื่อเข้าไปในบ้าน เจอร่าง เด็ก 2 ร่าง คะเนอายุประมาณ 8 และ 4 ปี สภาพแน่นิ่งอยู่บนเตียงเคียงข้างกัน ส่วนร่างแม่เลี้ยง ห้อยลงมาจากคานโดยมีเชือกคล้องคอ
จันจ้องทีวี ตาไม่กะพริบ เพราะ สถานที่เกิดเหตุ ชื่อผู้เสียชีวิตที่ผูกคอตายคืออร ที่เธอมีนัดหมายวันนี้ จันมือสั่น ตกตะลึงในภาพและคำบรรยายของผู้อ่านข่าว เธอไม่ได้ยินอะไรอีกเลย ได้แต่เห็นภาพเบอลบนจอ เธอไม่เคยเนื้อตัวสั่นเทามากเพียงนี้มาก่อน ถ้วยกาแฟเธอสั่นจนเธอต้องรีบวางลงกับพื้น เธอก้มหน้า สูดหายใจแรงๆ ดึงสติกลับมา เธอรู้สึกดีขึ้น ลุกขึ้นเดินไปวางถ้วยกาแฟ และพึมพำยกมือไหว้ สวัสดีปีใหม่ ไปรอบๆ พึมพำขอตัวเบาๆ
เธอเปิดประตูห้อง มือยังคงสั่นเทา รีบรินน้ำจากตู้เย็น ดื่มรวดเดียวทั้งขวด เธอเดินไปนั่งที่เตียง หยิบมือถือขึ้นมา เริ่มไล่อ่านข้อความย้อนหลังของอร ตั้งแต่รู้จักกัน อรเริ่มเล่า เหตุการณ์แรก ที่เธอปลดปล่อยเด็กน้อยย่านพื้นที่ที่เธอพักอยู่ เธอไม่เชื่อในตอนแรก แต่เมื่อมีคนพูดถึง เธอจึงเชื่อ เธอไม่เคยตอบข้อความของอร แต่เธอรอคอยข้อความเรื่องเล่าจากอร
ด้วยความตื่นเต้น จนกระทั่งรายสุดท้ายที่บางปู
ทุกเรื่องราว เธอเปลี่ยนและทำให้ตัวเองเชื่อว่า เธอเป็นผู้กระทำ เธอคือผู้ปลดปล่อย เธอมีคุณค่า และรู้สึกความมีตัวตน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่จินตนาการ แน่นอนเธอไม่สามารถทำได้แบบอร น้ำตาไหลพราก เธอสูญเสียตัวตนของเธอไปแล้ว เมื่ออรจากไปอย่างไม่มีวันกลับ เธอต้องกลับไปเป็นผู้แพ้ บนโลกอันโหดร้ายอีกครั้ง
เธอ ไล่ข้อความของอร จนข้อความสุดท้าย เมื่อตี 4 เข้าตรู่ เธอเล่าว่า คงเป็นเรื่องเล่าสุดท้ายที่ เราจะส่งให้จันเช้านี้ เราจัดการปลดปล่อยไปอีก 2 วิญญาณ ถ้ามีพ่อแย่ๆ แม่ที่ไม่ต้องการ ทิ้งให้เป็นภาระคนอื่น เราเห็นความเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นต่อไป เราไม่เคยเกลียดน้องๆ คนไหน รวมทั้งลูกเลี้ยงเรา มันเป็นการปลดปล่อย ยานอนหลับและพันคอให้แน่น ไม่ได้ทำให้เจ็บปวด
เราต้องการให้ผู้ชายเลว เอาเรามาเป็นคนใช้ ไม่ใช่เมีย ตายอย่างเจ็บปวด ก่อนที่เราจะลาจากไปด้วยวิธิการที่เราใช้เพื่อปลดปล่อยที่ผ่านมา เรารู้สึกสงบมากตอนส่งข้อความนี้ให้เธอ เรารอคอยผู้ชายเลวกลับมา คงเมามาแน่นอน เราเตรียมมีดที่แหลมคมไว้แล้ว เราจะแทงให้นับแผลไม่ได้ ให้มันตามไปดูแลลูกมัน ส่วนเราจะทิ้งร่างเรา ดวงวิญญาณเราจะได้รับการปลดปล่อยด้วยมือเราเอง
เราดีใจกับสิ่งที่เราทำ มันช่วยบรรเทาความขมขื่นในวัยเด็ก ที่เราโดนรุมทำลายจากทั้งลุง และอา โดยที่พ่อแม่ไม่เคยปกป้องเรา ความเจ็บปวดมันเกาะกินใจเรามาตลอดเวลา และเราไม่อยากให้ใครต้องทนทุกข์เหมือนเรา เราดีใจที่จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ชะตามันก็เล่นตลกกับเรา มันเลวกว่าที่เราคิด แต่นั่นแหละมันจบแล้ว
“ลาก่อน จัน คงได้พบกันเร็วๆ นี้”
ลาก่อนอร จบสิ้นความทุกข์ในภพนี้แล้ว