ในวันที่หลายคนรู้จักเธอผ่านจอภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ หรือรายการทีวีต่าง ๆ มีอีกด้านหนึ่งมากไปกว่าการเป็นนักแสดงของผู้หญิงคนนี้ ทราย เจริญปุระ ไม่ได้เป็นแค่ ‘นักแสดง’ แต่ยังเป็น ‘นักเขียน’ ที่ทำงานกับถ้อยคำอย่างต่อเนื่องมาตลอดหลายปี
ตั้งแต่ยุคที่เธอยังคงส่งต้นฉบับให้แพรวสุดสัปดาห์ไปจนถึงการเป็นนักเขียนประจำคอลัมน์ของมติชนสุดสัปดาห์มากกว่าทศวรรษ ทรายเขียนมาอย่างต่อเนื่อง เพราะเธอมีเรื่องที่อยากเล่าอยู่มากมาย การเขียนจึงเป็นเหมือนการสนทนาลึกๆ ระหว่างเธอกับตัวเธอเอง
แม้ช่วงหนึ่งเธอจะหยุดเขียนไปบ้าง ด้วยภาระหน้าที่หรือจังหวะชีวิตที่เปลี่ยนไป แต่สุดท้ายก็กลับมาหยิบปากกาอีกครั้งในงานรวมเรื่องสั้น ‘เธอทำลาย เธอกล่าว’ กับต้นฉบับเรื่อง ‘ปลายผมของพี่ยูร’ ซึ่งเธอบอกว่าอาจเป็นเรื่องสุดท้ายที่เขียนในชีวิต
ในบทสัมภาษณ์นี้ ไม่ได้ชวนคุยแค่เรื่องงานเขียนอย่างเดียว แต่เราจะพาไปสำรวจว่าเหตุใดการ ‘เล่า’ จึงสำคัญกับเธอขนาดนี้ อะไรเป็นแรงผลักดัน อะไรคือเหตุให้หยุดเล่า และที่สำคัญที่สุด เมื่อถึงจุดหนึ่งของชีวิต ผู้หญิงคนหนึ่งจะสั่งลาความเจ็บปวดในแบบไหนได้บ้าง
ตอนนี้มีผลงานอะไรบ้าง
มีหนังเรื่อง กิ่งแก้ว พึ่ง (ถ่าย) จบไป กับซิทคอมเรื่อง รักเบรกแตก เลิฟเบรกดาวน์ ของช่องเวิร์คพอยท์ แล้วก็เราทำ acting coach ให้หนังกับซีรีส์เรื่องหนึ่งด้วย แต่รายละเอียดยังไม่เปิดเผย
ทำงานหลากหลายมาก
ใช่ค่ะ ทำหลายอย่างมาก (ช่วงนี้) ก็เลยเหมือนหยุดทำงานเขียนไปเลย
แล้วเป็นอย่างไรมาอย่างไรถึงได้เข้าร่วมโปรเจกต์รวมเรื่องสั้น ‘เธอทำลาย, เธอกล่าว’ ได้
จริง ๆ คุณวิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา (บรรณาธิการ เธอทำลาย, เธอกล่าว) ชวนมาทำตั้งแต่เล่มแรกของโปรเจกต์นี้แล้ว (ทำลาย, เธอกล่าว) แต่ตอนนั้นเรารู้สึกว่าชีวิตยังไม่เสถียรมากพอที่จะลงมือเขียนได้ พอมาเล่มนี้ คุณวิวัฒน์ส่งคำชวนมาอีกครั้ง เราก็เลยตัดสินใจกลับไปทำงานตรงนี้ (การเขียน) อีกครั้งหลังจากพักมานาน พอดีเราขึ้นโครงเรื่องสั้นเรื่องนี้ไว้แล้วในโน้ตโทรศัพท์ เราเลยไปขุดไอเดียต่าง ๆ ที่เราทดทิ้งไว้ขึ้นมาอ่านเพื่อดูว่ามันยังทำงานกับความรู้สึกของเราอยู่ไหม ทำงานแบบไหน เรารับมือกับมันได้หรือเปล่า ซึ่งผลลัพธ์ก็คือได้
เริ่มทำงานเขียนตั้งแต่ตอนไหน
ย้อนไปไกลมากเลย ตั้งแต่แพรวสุดสัปดาห์ยังออกเป็นรูปเล่ม ทรายจำไม่ได้แล้วว่าทรายเขียนเรื่องสั้นส่งก่อนหรือเขียนคอลัมน์ก่อน แต่มันเกิดขึ้นในระยะเวลาไล่เลี่ยกันเนี่ยแหละ ทรายจำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าใครชวนทรายเข้าวงการเขียนจริงจัง พอดีช่วงนั้นเขามีเทรนด์ให้ดาราเขียนหนังสือ ดาราบางคนเขาก็จ้างนักเขียนผี ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ทรายอยากลงมือเขียนเองมากกว่า เขียนเล่าสิ่งที่ตัวเองเจอมา ช่วงแรก ๆ เขียนงงมาก เขียนยาวไปเรื่อยๆ เปื่อยๆ ไม่รู้จะตัดยังไง ก็ explore กับมันนานพอสมควร
จุดเริ่มต้นจริงๆ ของการเขียนคือการที่ทรายเป็นคนชอบอ่านเนี่ยแหละ
แสดงว่าเป็นคนชอบอ่านก่อน แล้วการเขียนนี่มาทีหลัง
ใช่เลย
เคยคิดมาก่อนบ้างไหมว่าเราจะได้มาทำงานด้านงานเขียนจริงจัง อย่างเช่น การเขียนให้มติชน
โห ไม่คิดเลย ตอนเขียนเป็นรายปักษ์ (ราย 15 วัน) ส่งแพรวสุดสัปดาห์ก็มีผู้ใหญ่ชวนไปเขียนให้มติชนเป็นรายสัปดาห์ แต่ตอนนั้นเราคิดว่าเราเขียนไม่ไหวแน่เลยปฏิเสธไป เขา (มติชน) ก็ยังชวนมาอีก จนมาถึงจุดๆ หนึ่ง เราเลยตกลงรับไป รวมเวลาทั้งหมดที่เขียนให้มติชนมาก็สิบกว่าปีแล้ว
สิบกว่าปีเลย
ใช่ ตั้งแต่ถ่ายทำหนังเรื่องนเรศวรฯเลย ช่วงพักระหว่างถ่ายหนังก็นั่งเขียนในกอง เขียนในโทรศัพท์เนี่ยแหละ
เป็นวิธีการทำงานที่ค่อนข้างแปลกดี
สำหรับทราย เขียนในโทรศัพท์มือถือสะดวกที่สุด เพราะทรายเป็นคนไม่ค่อยอยู่บ้านอยู่แล้ว เราต้องออกมาทำงานข้างนอกเป็นส่วนใหญ่
แล้วแบ่งเวลาทำงานการแสดงกับงานเขียนส่งมติชนรายสัปดาห์ยังไง
ไม่แบ่งเลย ก็นั่งเขียนในกองนั่นแหละ เพราะเรามีไอเดียที่ทดไว้ในโทรศัพท์กับในหัวของเราเองอยู่แล้ว ขอแค่ให้เรารู้ก่อนว่าเราจะเล่าเรื่อง ๆ หนึ่งในหัวยังไง ซึ่งมันก็เป็นวิธีการทำงานที่ทรายใช้กับงานทุกอย่างบนโลกใบนี้ คือเราต้องรู้ก่อนว่าจุดประสงค์ของการเล่าไอเดียตรงนี้ ๆ คืออะไร แล้วนำมาจัดเรียงกันเป็นเรื่องทีหลัง อย่างเช่น ไอเดียตรงนี้คือบทสรุปของเรื่องนะ แต่เราจะเอาบทสรุปไว้ขึ้นเปิดเรื่องเลย หรือเอาไว้ท้ายเรื่องตามหลักสากลก็ได้ เราเลยไม่เคยรู้สึกว่าต้องแบ่งเวลาอะไรเป็นกิจจะลักษณะ
เรารักการทำงานเขียนก็จริง แต่เราไม่เคยคิดว่ามันศักดิ์สิทธิ์ถึงขนาดที่ว่าห้ามมีอะไรเข้าไปแทรกแซงได้ งานพวกนี้มันศักดิ์สิทธิ์เพราะตัวเราไปทำให้มันมีกระบวนการ มีพิธีการเองทั้งนั้น
วิธีการเขียนแบบนี้ได้อิทธิพลมาจากงานด้านการแสดงด้วยหรือเปล่า
ใช่ เพราะเวลาเราถ่ายละครหรือหนัง เราต้องผ่านการอ่านบททั้งเรื่องมาก่อน แต่ถึงเวลาแสดงจริง เขาไม่ได้ถ่ายทำเรียงฉากอย่างในบทไง เราเลยต้องแม่นว่า ณ ตอนนั้น เราทำอะไรอยู่ เราแสดงอะไรอยู่ จะเผลอแสดงเกินเลยหรือน้อยกว่าฉากไม่ได้เด็ดขาด เวลาเขียนก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เขียนอะไรทิ้งไว้ก็ต้องเก็บให้ครบ นอกเสียจากว่าจะไม่เก็บเพราะตั้งใจจะให้เป็นคำถามร่วมกัน จริง ๆ ข้อนี้มันเป็นหลักสำคัญในการสื่อสารด้วยนะ
ยุคนั้นดาราเขียนหนังสือกันเยอะมากจริงๆ
มันเป็นแฟชั่นเลย ยุคนั้นมีงานเขียนแนวบันทึกชีวิตหรือ memoir ของนักแสดงเยอะ ทรายก็เขียนอยู่เล่มนึง เป็นเรื่องของเรากับแม่ แม่อยากให้เขียน
เคยกังวลว่าคนอ่านจะติดภาพจำเราจากหนังสือที่เราเขียนไหม
มันไม่ทันแล้วล่ะ ถึงจะกังวลไปมันก็วางขายออกสู่ตลาดไปแล้ว บางเล่มเราอยากให้คนไปหาอ่านมากกว่านี้ด้วยซ้ำ จะได้ไม่ต้องมาถามเราทีหลัง แต่บางเล่มก็แบบ อย่าอ่านเลย ขอร้อง แต่ถ้าให้พูดตามตรง เรื่องหลายๆ เรื่องบนโลกนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับ contents ของมันหรอก มันขึ้นอยู่กับว่าผู้ส่งสารเป็นใครมากกว่า
เพราะเราเป็นคนมีชื่อเสียงด้วยหรือเปล่า
มันมาจากหลายปัจจัยรวมกันอยู่นะ แต่ที่แน่ๆ คนคาดหวังให้เราทำตามสิ่งที่เขาต้องการอยู่แล้ว แต่เราทำแบบนั้นกับงานเขียนไม่ได้ งานเขียนมันมีแค่ ‘เขียน’ กับ ‘ไม่เขียน’
ถ้าเขียนแล้วเราจำเป็นต้องเซนเซอร์ตัวเองไปเรื่อยๆ เราเลือกไม่เขียนตั้งแต่แรกเลยดีกว่า
ประเด็นคือเราไม่มีทางรู้เลยว่าคนที่อ่านงานของเรา เขาตัดสินเราจากอะไร บางทีเราออกงานมาสิบเรื่อง เขาอ่านงานของเราแค่สามเรื่องแล้วตัดสินเราเลยก็มี
เคยมีเล่มที่เขียนออกมาแล้วรู้สึกกระทบใจไหม
มี แต่เราถือว่า ไหนๆ ก็เขียนถึงแล้ว เขียนให้มันจบเถอะ หมอบอกให้เราเขียนออกมาเป็นเรื่องเป็นราวด้วยซ้ำ เพราะเราจะได้ทบทวนกับตัวเองด้วยว่าปัญหาที่เราเจออยู่มันมีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ เรากำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่ ไม่งั้นเราก็ไปต่อกับชีวิตไม่ได้
รับมือกับคำวิพากษ์วิจารณ์ยังไง
ขออนุญาตไม่รับ (หัวเราะ) งานของเราทั้งด้านการแสดงและการเขียนมันอยู่ในดงการวิจารณ์อยู่แล้ว แต่เรารับคำวิจารณ์จากทุกอย่างไม่ได้ บางอันที่มีประโยชน์ เราก็รับมาพิจารณา อย่างเช่น ข้อมูลตรงนี้ผิดนะ อะไรอย่างนี้ จริงๆ เราต้องชั่งน้ำหนักคำวิจารณ์เอาเองด้วย อันไหนที่ผิดจริงแล้วเราแก้ไขได้ เราก็โอเค จะทดไว้เก็บไปแก้ในงานชิ้นถัดไป แต่เราก็ต้องไปอ่านคำวิจารณ์จากฝั่งที่เขาเข้าใจด้วย ซึ่งอย่างหลังเนี่ยค่อนข้างมีน้อย เพราะเวลาคนเราชอบอะไร เขาไม่ค่อยให้ฟีดแบค พอสิ่งที่ชอบมาตลอดเกิดล้มขึ้นมาครั้งนึง ถึงค่อยมาด่า
เลยเลือกตัดสิ่งกวนใจออกไปเลย
ใช่ เราตัดทิ้งทุกสิ่งที่รบกวนจิตใจออกไป ซึ่งก็ไม่ใช่นิสัยที่ดีหรอก แต่เพราะงานเขียนมันเป็นงานที่โดดเดี่ยวมาก ถ้าเรารับคำวิจารณ์มากเกินไป เราก็เหมือนถูกมัดมือมัดเท้า สุดท้ายที่บอกว่าจะนำไปปรับปรุงในงานเขียนชิ้นถัดไปให้มันดีขึ้นก็อาจจะไม่ได้ทำ เพราะเราจะไม่กล้าเขียนอะไรเลย
งานเขียนกับงานแสดงมีความยากง่ายแตกต่างกันอย่างไร
งานแสดงมันมีความยากตรงที่เราต้องทำงานกับคนเยอะอยู่แล้ว เราแค่รับผิดชอบในหน้าที่ของเรา แต่งานเขียนเราทำคนเดียว ตบตีทะเลาะกับตัวเองคนเดียว เป็นบก.ให้ตัวเองคนเดียว ต้องมาคิดว่าวันนี้เราจะเข้มงวดกับตัวเองดีไหมอะไรอย่างนี้ มันมีความยากคนละแบบ
ประสบการณ์ในวงการบันเทิงช่วยในด้านการเขียนไหม
ช่วยให้เรามีเรื่องเขียนเยอะขึ้น บางเรื่องเราเขียนจากเรื่องที่ตัวเองเจอมาในกองอย่างเดียวเลยก็มี กองถ่ายหนังมันเป็นที่พบปะผู้คนหลากหลายด้วยแหละ มันเป็นพื้นที่พิเศษให้เราแลกเปลี่ยนประสบการณ์หรือเรียนรู้อะไรบางอย่างจากคนอื่นๆ ด้วย
มีช่วงเวลาที่เขียนไม่ออกไหม
บ่อย มันคือการเรียงไม่ถูก มัน ‘ช็อต’ เขียนอะไรดี เราว่าทุกคนมี แต่อย่างที่เราบอก ว่าเราทดไว้แล้วมานั่งไล่ดู มันก็จะมีขึ้นมา แต่เหนือกว่านั้นก็คือความขี้เกียจ เขียนแบบรายสัปดาห์ไปถึงจุดหนึ่งมันจะเริ่มมีความ drain เราว่ามันเป็นภาวะปกติ
เราเป็นนักแสดง มันมีวันที่ วันนี้รู้สึกไม่ค่อยดี อาจจะนอนน้อยไป มันประกอบด้วยอะไรหลายอย่าง แต่ว่าวินัยเป็นเรื่องหนึ่ง เราเขียนเรื่องหนึ่งไปก่อน เราต้องเขียน บางทีเขียนๆ ไป อันนี้ดีเราก็ทิ้งอันเก่าและเอาอันใหม่ที่ดีกว่าก็มี บางวันเขียนลื่น ก็ลื่นไปเลย ถึงแม้วันที่ติดจะเยอะกว่า
คิดว่าอะไรคือเอกลักษณ์ของตัวเองในฐานะนักเขียน
ขมขื่น? ให้ทรายอธิบายงานตัวเองก็ยิ่งยาก สมมติว่าเราได้ไอเดียเรื่องหนึ่ง เราอยากเล่าแบบนี้ เราจะคิดในมุมที่ว่า ถ้าเราพูดมันออกมาดังๆ ให้คนดูฟัง เราจะเล่าแบบนี้ มันไม่ใช่เชิง ‘เพียว’ งานเขียน งานเขียนเรามันเหมือนไม่ได้ทดลองอะไร มันเหมือนการเล่าเรื่องให้ฟังปกติ แต่มันจะมีสลับ เล่าแล้วดูเหมือนไม่ปะติดปะต่อ แต่มันเป็นเสียงเรา
บางทีมันเหมือนไม่ได้นำไปสู่อะไร แต่มันเล่าช่วงเวลาบางอย่าง จังหวะที่ยังติดอยู่ในใจเรา ชอบมีคนบอกว่างานของทรายเขียนเศร้า โดยที่ไม่ได้รู้สึกว่าต้อง ‘ฮือๆ’ แต่มันเศร้า แต่ ณ โมเมนต์นั้น มันได้ถูกบันทึกเอาไว้แล้ว ณ โมเมนต์นั้น หรือว่างานล่าสุดที่เขียน มันเป็นโมเมนต์ที่ผ่านมานานมากๆ แต่มันยังอยู่กับเรา ถ้าเห็นเรา ก็ยังคงจะคุยกับน้องอยู่ในเรื่องที่เรานึกถึงตอนนั้น แต่พอเราเขียนออกมา เราดันเป็นคนจำแบบเล็กๆ จำแสง จำเพลง อะไรที่มันแว๊บๆ เข้ามาตอนนั้นด้วย
เรารู้สึกว่า (เรื่องที่เขียน) มันมีความเศร้าหม่น โดยที่เราก็ไม่ใช่คนที่อึมคลึมอะไรตลอดเวลา เราก็เป็นเราปกติอย่างนี้ แต่เวลาเขียนมันจะมีความอยากอธิบาย ว่าเรื่องที่มันเกิดขึ้นมันส่งผลกับเราอย่างไรบ้าง บางทีมันอาจจะเป็นเรี่องแบบจิ๊ดเดียว ทุกครั้งที่เราเห็นอันนี้เราก็จะนึกถึงเรื่องนี้
เรารู้สึกว่า sense ของความเศร้ามันมาจากเรื่องที่หลายคนต้องเคยเจอ แต่มันไม่ได้ติดตัวเขามาจนโต แต่เรารู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้ มันติดกับเรามา ทำให้เราเป็นเราทุกวันนี้
อาจจะเป็นเพราะว่าด้วยหน้าที่การงาน เป็นนักแสดง มันต้องกระจุกกระจิกกับเรื่องอารมณ์ ใบหน้า วิธีตอบสนองบางอย่าง เรื่องที่มันเล็กจิ๋วมาก ๆ ที่บางทีคนบางคนยังไม่รู้เลยว่าตัวเองทำแบบนั้นออกไป แต่เราจำเป็นจะต้องเห็นมันจริงๆ มันเลยมีผลกับงานเขียนไปด้วย มันไม่ขนาดเห็นเป็นภาพ แต่มันเห็นเป็นภาพในหัว แต่เล่าแล้วเป็นภาพไหม…ไม่รู้ เป็นมนุษย์ติดอธิบาย ต้องเล่าให้มันแล้วให้ได้
มีแนวเขียนแบบไหนไหมที่รู้สึกชอบเป็นพิเศษ
ไม่มี ความรู้สึกที่จะเขียนหนังสือลดน้อยลงมาก เพราะใจมันสงบมากพอแล้ว เพราะว่าแต่ก่อนมันเขียนด้วยความ struggle หลายๆ อย่างในชีวิต ช่วงที่อกหักเขียนเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง แต่ว่าตอนนี้มันวางได้ มันไม่มีอะไรมากระตุ้นเรา ที่เรารู้สึกแบบที่เจอแล้วต้องเขียนแน่ๆ
ในชีวิตที่อยากเขียนเริ่มมาจากแม่ มันมีเรื่องเยอะมากๆ ที่อยู่กับเราแล้วบอกเขาไม่ได้ มันก็จะเขียน มันต้องเล่า เพราะขนาดเล่าแล้วก็ไม่ทัน ทำให้ต้องไปกินยา ซึ่งในแง่หนึ่งมันก็ดีที่สามารถสร้างงาน (เขียน) มันไม่ได้เจ็บช้ำไปเปล่าๆ แต่ตอนนี้ เรารู้สึกว่าเราสงบแล้ว
หนึ่ง คือ ไม่มีเรื่องที่จะต้องรู้สึกว่ามันกระตุ้นรุนแรงจนเราต้องเล่ามันออกมา สอง ถ้ามันไม่ได้กระตุ้นรุนแรง มันก็ไม่คุ้มที่จะเขียนแล้วโดนฟีดแบคโดนคนด่าอย่างรุนแรงเหมือนกัน ถ้ามันเป็นเรื่อง daily life วันหนึ่งที่เราคิดไปเรื่อยเปื่อย แล้วถ้าเล่าแล้วคนด่า แล้วเราจะเลือกให้คนมาด่าทำไม ในเมื่อมันก็เรื่องแค่วันๆ เดียว ที่มันไม่ได้สำคัญกับเราขนาดนั้น เรารู้สึกว่าไม่ได้อยากจะกระโจนเข้าไปในนั้นเป็นพิเศษ นอกจากว่า special event จริงๆ แล้วเรารู้สึกว่ายังมีสิ่งที่อยากบอกอยู่ภายใต้ concept ของชื่อเล่มหรือชื่อเรื่อง
ในทางกลับกัน มีแนวไหนไหมที่รู้สึกว่าไม่ถนัด
แนวที่ต้องตั้งชื่อตัวละคร ตั้งชื่อตัวละครไม่เก่ง และก็ไม่ชอบเขียนบทสนทนา ไม่ชอบอย่างรุนแรง อยากเขียนอะไรที่เท่ๆ คมๆ เขียนไม่ได้ แต่เคยต้องเขียนบท ทำหนังต้องมีคำพูด แต่ว่าเราถามกับเขาว่า ‘ไม่พูดได้ไหม ถ้าได้ทำเลย’ เพื่อนที่เข้ามาช่วยทำบทก็บอกว่าไม่ได้ เขาต้องคุยกันบ้าง เรามองตากันอย่างเดียวแล้วเดินออกมาจากฉาก มันไม่ได้หรือเปล่า
แต่ถ้าเป็นหนังสือเราสามารถเขียนบรรยาย บทบรรยายทำให้ผู้อ่านรู้ว่าตัวละครกำลังคิดถึงอะไรอยู่ แต่ว่าเวลาเขาเล่น (ตัวละคร) ไม่พูดไม่ได้ เราต้องพูดนิดนึง
ปกติเขียนคอลัมน์ พูดด้วยเสียงเราเอง หรือโควตประโยคจริงๆ ที่เราได้ยินมาลงไปเลย เราแต่งน้อยมากๆ แต่ว่าตัดปะมี ถามอันหนึ่งแล้วไปเอาอีกคนหนึ่งตอบมาปะ แบบนี้มี แต่ให้เขียนใหม่ขึ้นมาเป็นจุดอ่อนสุดๆ เราเขียนไม่ได้
มีนักเขียนคนไหนที่ชื่นชอบเป็นพิเศษไหม
จริง ๆ ตอนนี้ชอบงานคุณวิวัฒน์ (เลิศวิวัฒน์วงศา) คนแบบฟุ่มเฟื่อย เยอะๆ ใส่ผงฟูแล้วก็เติมยีสต์เข้าไปอีก ให้มันรุ่มร่าม ทรายชอบ เพราะมันเขียนด้วย sense แบบใกล้เคียงกัน เราไม่อ่านงานที่เร็วๆ เราข้าม การอ่านงานหนังสือยุคทมยันตี ทรายโตมากับอะไรแบบนั้น ดังนั้นเราจะติดกับการบรรยายที่ ‘เอิง เอย’ พอเป็นยุคนี้ สิ่งที่คุณวิวัฒน์เขียน มันมีความโมเมนต์ เรื่องมีแค่นี้แต่เขียนแล้วฟูออกมาได้ ซึ่งเราชอบมาก มันมีความย้ำคิดย้ำทำ ความจมตัวเองลงไป
ถ้ามองภาพรวมวงการหนังสือของไทย ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน รู้สึกว่าวงการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
เปลี่ยน เดี๋ยวนี้ platform หนังสือไม่ได้อยู่กับหนังสือ ทั้งวิธีเล่า ทั้งวิธีเขียน ‘รุ่นเก่าๆ’ ก็ล้มหายกันไป เราไม่สามารถไปกระเง้ากระงอดกับมัน
การรั้งไว้มันไม่มีประโยชน์ มันเปลี่ยนเพราะมันเปลี่ยน ไม่งั้นเราจะกลายเป็นเหมือนตอนเด็กๆ ที่หงุดหงิดที่ ‘รุ่นเก่า’ ไม่เปลี่ยนกันสักที
เราก็จะหงุดหงิด มันเป็นแบบนี้ แต่ถามว่าเราสามารถเข้าใจมันได้ไหม เราเข้าใจได้ว่ามันเปลี่ยน
แต่ถ้าถามว่าทำให้เราเป็นสมัยใหม่ได้ไหม เราทำไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่ความผิดของเรา ไม่ใช่ความผิดของเทรนด์ให้เขางอกงามของเขาไป เรื่องแนวเขียนเป็นตอนๆ เรื่องแนวต่างโลก ให้ทรายอ่านทรายก็สนุก แต่ถ้าให้มี passion กับการเขียนแนวนี้ไหม ก็ไม่ แต่เรารู้สึกว่ามันสนุกดี
โลกมันเป็นแบบนี้แล้ว จะให้เขียนแบบเดิมมันไม่สื่อสาร มันไม่ใช่สิ่งที่คนอยากอ่านแล้ว ตอนนี้มันเปลี่ยนเยอะมาก ถ้าไปฟื้นการพิมพ์แบบสมัยก่อน ไม่มีทาง มันมีทั้งข้อจำกัดและข้อที่ฉีกออกไปเลย มันมีทั้งสองอย่าง
อ๋อ! ทรายนึกได้ว่าชอบนักเขียนอีกคนหนึ่ง ‘เงาจันทร์’ กับ อาจารย์หม่อมคึกฤทธิ์ (คึกฤทธิ์ ปราโมท) เป็นคนเขียนหนังสือแบบนั้น เราโตกับอะไรแบบนี้ เราก็จะเขียนด้วยความฟุ่มเฟือย ถามว่าเดี๋ยวนี้คนเขียนอย่างนั้นกันไหม ก็ไม่เขียนแล้ว เราชอบเวลาเลื่อนเจอโพสต์ของ P.S. Publishing ที่คุณจุ๋ม (ปนิธิตา เกียรติ์สุพิมล ผู้ก่อตั้งสำนักพิม์) โควตคำพูดขึ้นมา (ในโพสต์) มัน ‘จี๊ด’ ดี มันเป็นภาพเอ็มวี ทรายรู้สึกว่ามันฉับไหว มัน ‘ปึ้ง’ เข้าท่อนฮุกเลย มันไม่ยืดเยื้อ ถามว่าเราเขียนแบบนี้ได้ไหม เราเขียนไม่ได้
อยากให้วงการหนังสือบ้านเราพัฒนาไปในทิศทางไหน
อยากให้คงอยู่ไปตลอด เพราะเห็นบ่นกันมาทุกปีตั้งแต่สมัยเราเด็กๆ ไม่ว่าจะอยู่ใน platform ไหน จะอยู่ในปีไหนมันมีสิ่งที่ต้องเติบโตไปเรื่อยๆ ต้องปรับปรุงไปเรื่อยๆ อาจมีคนใหม่เข้ามา คนเก่าก็ปรับตัวกันไป platform มันมากขึ้น มีเรื่องลิขสิทธิ์ เรื่องไอพี เรื่องแปล เรื่องเอไอเข้ามา แต่ละปีมันมีปัญหาไม่ซ้ำกัน
หน้าที่ของคนที่ทำตรงนี้กันอยู่คือต้องปรับตัวให้ได้โดยที่เรายังรักหนังสือกันอยู่ เพียงแต่วิธีสื่อสารมันต่างไปแล้ว แค่นั้นเอง
มันไม่มีประโยชน์ที่จะมานั่งโหยหาถึงอดีต มีแต่ต้องไปข้างหน้า เรารู้ว่ามันเป็นงานที่เหนื่อย เป็น ‘ซูปเปอร์วิ่งมาราธอน’ ปีนี้แก้ ปีหน้ามาอีก เพียงแต่ว่าถ้าทุกคนยังรักมันโดยแก่น และเข้าใจว่าหนังสือคือการสื่อสาร คือการพูดคุยกับมนุษย์ วงการหนังก็เป็น ปัญหามันไม่ต่างกันในมุมของคนที่ทำสื่อ ทำคอนเทนต์สร้างสรรค์ มันใกล้เคียงกัน มันสามารถแชร์ปัญหาร่วมกันได้ คนเหนื่อยก็มี แต่คนสู้ต่อมันก็มี และมันก็จะมีหนทางของมันไปต่อได้
ตราบใดที่ยังมีคนสนใจกับความสำคัญกับมัน มันมีอยู่เสมอ เราไม่รู้สึกว่าวงการหนังและหนังสือควรจะปิดตาย มันเป็นไปไม่ได้
ขอชวนคุยถึงโปรเจกต์ ‘เธอทำลาย, เธอกล่าว‘ อีกครั้ง ตอนนั้นเข้ามาร่วมโปรเจกต์นี้ได้อย่างไร
โดนชวนตั้งแต่แรกแต่สภาพจิตไม่พร้อม คุณวิวัฒน์ก็พยายามชักชวน ให้เดดไลน์แบบกว้างมาก ๆ แต่เราไม่ได้เขียนถึงมันนานมาก ทรายถามคุณวิวัฒน์ว่า ‘ไหวเหรอ’ แต่เขาบอกว่าลองดู ‘แกล้งๆ’ เราก็โอเค ทรายรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นเล่มท้ายๆ ในชีวิตที่จะได้มีส่วนร่วม เป็นโปรเจกต์ที่อยากทำกับเพื่อน เราเลยรู้สึกว่า ‘ขอสักหน่อย’ จำได้ว่าพอคุณวิวัฒน์ทักมา เช็คก่อนว่ามีฟุตโน๊ตอะไรไว้หรือเปล่า มี source ไหม ถ้าไม่มีก็ขึ้นใหม่ทั้งหมด ตอนนั้นไม่มั่นใจ เพราะเหมือนต้องรื้อลิ้นชักในตัวอีกรอบ แต่ว่าดันมีที่อยากเขียนถึงจริงๆ แต่ลืมไปนานแล้ว
ใช้เวลานานไหม
ไม่นาน เพราะเป็นคนเขียนไม่ค่อยนาน แต่เวลา edit เป็นคนเขียนสลับ เหมือนเวลาตัดหนัง มีสลับ ‘สับ’ กัน แต่ตอนเขียนนั้นเขียนรวดเดียว หากจะเรียงประกอบกันใช้เวลาพักหนึ่ง
งานชิ้นนี้ค่อนข้างใหญ่ มีตัวละครค่อนข้างเยอะ
ใช่ เรื่องนี้มีตัวละครเยอะสุดแล้วจากเท่าที่เคยทำมา แต่ทรายรู้สึกว่าทรายอยู่ในวัยที่สามารถพูดถึงเรื่องเหล่านี้ได้ เพราะว่าทรายผ่านมันมาแล้ว มันประกอบขึ้นมาเป็นเรา เราหนีมันไม่ได้ แต่เรื่องบางเรื่องที่ผ่านไปแล้วก็คือผ่านไป แต่ก่อนอาจจะไม่อยากเขียน ยังไม่พร้อม
พอถึงจุดหนึ่ง เรารู้ว่ามันถึงเวลาแล้วที่สามารถพูดถึงพารากราฟนี้ได้อย่างจริงๆ
มีโครงเรื่องอยู่แล้วหรือว่าคิดขึ้นมาใหม่
ที่ทดไว้มีอยู่ประมาณ 30 หรือ 40 เปอร์เซนต์ เรื่องของพี่ยูร (ปลายผมของพี่ยูร) มี เรื่องของปลายผมของเขามีแน่ ๆ เพราะเราทดเอาไว้ แต่อย่างอื่นก็เติมเข้ามาและสลับสับเปลี่ยน วิธีเขียนเรา มีอันนี้อยู่ก็จะวาง เขียนพรืดเดียว เขียนให้เสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน เพราะไม่งั้นถ้าหยุดเพื่อแก้มันจะไปต่อไม่ได้ ลากไปให้ยาว อันไหนที่ยังคิดคำไม่ทัน ทดไว้ก่อน เล่าเรื่องนี้และเขียนให้มันจบทีเดียว อะไรที่งอกออกมาเก็บหมด แล้วค่อยกลับมา edit บางอันก็เอาออก ไม่งั้นมันจะเขียนไม่ได้
ยิ่งถ้าเราใส่ trigger warning ตายแน่ เพราะเราจะพยายามเขียนอ้อมจนสุดท้ายแล้วมันเละ เราต้องไปต่อไปอีกจนกว่าจะเขียนไม่ได้จริง ๆ เช่น ยอม ไปอาบน้ำ แต่ถ้าได้ก็เขียนไปก่อน ยิ่งถ้าเราเขียนในโทรศัพท์เรานอนเขียนก็ยังได้ อยู่ตรงไหนก็เขียน เดินเข้าห้องน้ำก็เขียน และก็ต้องทด เพราะรู้ว่าบางอย่างหยุดไว้ จะบรรยาย ‘ก้อนนี้’ แล้วติดขัด แต่รู้ว่าต้องทดไว้แล้วข้ามไปก่อน มันใช้แรงเยอะเหมือนกันเวลาเขียน บางคนชอบมีพล็อตในหัวแล้วก็เดี๋ยวก็เล่าได้เลย มันไม่ได้ การต่อจุดยากสุด จากจุด A ไปจุด B
ตีความธีมหรือชื่อ ‘เธอทำลาย, เธอกล่าว’ อย่างไรบ้าง
ชีวิตเรามันโดนเธอทำลายมาอยู่แล้ว หรือไม่ก็ทำลายกันเอง ผู้หญิงมีเรื่องเหล่านี้อยู่ในคลัง แค่อาจเคยเล่ามาก เคยเล่าน้อย เคยเล่าผ่าน ๆ แค่นั้นเอง ผู้หญิงไม่ค่อยโดนทำลายจากผู้ชาย ส่วนมากทำลายกันเองมากกว่า สมมติว่าเราโดนผัวทิ้งนั้นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การโดนตัดสินจากแม่ จากเพื่อนผู้หญิง เรื่องพวกนี้มันโหดกว่า มันเจ็บปวดกว่า มันคาดหวังความเข้าใจ พอมันไม่ได้มันเจ็บกว่าอีก
การแชร์ให้แม่ฟังหรือให้เพื่อนฟังแล้วไม่ได้รับการเข้าอกเข้าใจ มันโหดร้ายกว่าสำหรับเรา สำหรับคนอื่นการโดนผัวทิ้งอาจจะไม่มีอะไรโหดเท่านี้อีกแล้ว หรือการโดนทำร้ายทางเพศ
คนที่ judge แรงมากที่สุดคือผู้หญิง เพราะว่าเราผิดหวัง ว่าผู้หญิงเหมือนกันเขาน่าจะเข้าใจ สมมติผู้ชายไม่เข้าใจเราปัดได้ง่ายมาก เพราะเขาเป็นผู้ชายจะมาเข้าใจอะไร
งานเขียนเรื่องนี้เขียนในวันที่เราอายุ 40 กว่า เราเข้าใจแม่ในแบบที่เราเข้าใจ เราตัดสินเขาไหม เราตัดสินอยู่แล้วเพราะถ้าเราไม่ตัดสินใครเลย เราใช้ชีวิตไม่ได้ เราต้องมี concept ว่าเขาเป็นคนแบบนี้ แต่ถามว่าเราโกรธเท่าที่เราเคยโกรธไหม ไม่ มันเป็นความน้อยอกน้อยใจ ทำไมแม่เราไม่เหมือนแม่เพื่อน
พอถึงวันหนึ่งที่เขาไม่อยู่แล้ว พอเราโตขึ้น มีความคิดว่า ถ้าเป็นเรา เราก็อาจจะไม่ได้ดีไปกว่านั้นก็ได้ น้ำหนัก balance ในการมองแม่มันถูก weight ใหม่ จากที่เมื่อก่อนมีความคิดว่า เรานี่มันน่าสงสารที่สุดในโลกแล้ว พอถึงจุดนี้คิดว่ามันอาจจะดีแล้วด้วยซ้ำ เพราะถ้าเขาไม่เป็นเขา เราก็อาจไม่เป็นแบบนี้ พอมันผ่านไปแล้วมันถึงจะพูดได้
ในวันนั้นที่พูดจริงๆ มันยังไปไม่ได้ ยังต้องออกมาในรูปแบบ ‘การโบยตีกัน’ พอมาถึงวันหนึ่งเราก็ทำใจได้มากขึ้น เข้าใจได้มากขึ้น และรู้ว่าผลกระทบที่เขามีกับเรามันเป็นส่วนหนึ่งของเราไปแล้ว โดยที่เราไม่ต้องรับเรื่องใหม่ๆ มันจบแล้วจริงๆ
อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้กับเรื่อง “ปลายผมของพี่ยูร”
แม่ ส่วนนี้แล้วแต่ว่าใครจะเข้าใจ ตรงไหนเป็นเรื่องจริง ตรงไหนเป็นเรื่องแต่ง เส้นแบ่งมันเลือนลาง เพราะว่าเราต้องผสมเรื่องจริงลงไปด้วย เราไม่ได้บอกอยู่แล้วว่าคนนี้จริง คนนี้ไม่จริง เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงหรือเปล่า เรื่องนั้นไม่เคยเกิดขึ้น ถ้าเอาเรื่องนี้ไปให้น้องเราอ่าน น้องก็อาจจะ “ห้ะ?”
ชื่อเรื่อง ‘ปลายผมของพี่ยูร’ มีที่มาหรือมีเหตุผลพิเศษอะไรไหม
ไม่ได้ตั้งเอง อีกจุดบอดคือตั้งชื่อเรื่องไม่เก่ง บอกให้คุณวิวัฒน์เลือกเอา เพราะว่าเวลาเราเขียน ไม่แก้เลย แค่ทำย่อหน้าแค่นั้นเอง ชื่อตัวละครจริง ๆ สำคัญ เราอยากให้เรื่องเล่าทั้งเรื่องเป็นชื่อเรื่องด้วยซ้ำแต่มันเป็นไปไม่ได้ เรื่องสั้นจะชื่อยาวขนาดนั้นไม่ได้ เราไม่รู้ว่า สำหรับบก. (คุณวิวัฒน์) เขาจะไฮไลต์ต่อเรื่องนี้จากอะไร สำหรับทรายรู้สึกว่าคุณวิวัฒน์เข้าใจว่าไฮไลต์ของเรื่องนี้มันก็คืออันนี้ (ปลายผม) เรื่องเล่าทั้งหมดนำไปสู่ซีนนี้
ในเรื่องนี้ ตัวละครแม่มีบทบาทเด่นชัด คิดว่าตั้งใจสื่ออะไรผ่านตัวละครนี้
คนที่อ่านงานทรายมาตลอดจะรู้สึกว่าคุ้นเคย อย่างที่เราบอกว่ามันเป็นการผสมกันระหว่างเรื่องเล่ากับเรื่องจริง ตอนเขียนไม่มีความกังวลว่าพ่อแม่เราจะดูแย่มากหรือเปล่า ถ้ามามัวนั่งคิดก็จะไม่ได้เขียน ช่วงหนึ่งของชีวิต แม่เราป่วย เราออกมาเล่าเรื่องแม่ เราโดนคนด่าเยอะมาก ว่า ‘ด่าเขาได้ยังไง เขาเป็นแบบนี้’
ในความเป็นมนุษย์ ทุกคนมันก็ผิดพลาด เราไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ
ผู้หญิงคนหนึ่งมันทำอะไรหลายอย่างมากๆ ในชีวิต เพื่อให้ตัวเองก้าวไปข้างหน้าได้ เพื่อให้ครอบครัวก้าวไปข้างหน้า เพื่อลูก และเพื่ออีกแปดล้านอย่าง โดยที่ทั้งหมดทำในหัวตัวเอง ทุกอย่างมันไม่ได้จำเป็นต้องออกมาเป็นประโยค ที่เขาขอความช่วยเหลือ หรือเขาตัดสิน ถ้าคนเคยอ่านงานเราจะคุ้นกับตัวละครนี้ เรารู้สึกว่าเราอยากสั่งลาเขาจริงๆ เรารู้สึกว่าเราเล่าเรื่องเขาไปหมดแล้ว แต่ในเมื่อเขาเป็นส่วนที่สำคัญมากๆ ในชีวิตเรา ทั้งในแง่ดีและแง่ไม่ดี ดังนั้นเราควรจะเล่าออกมาในเรื่องที่ยังคงเหลืออยู่ มันจะได้หมดความคาใจ
ปกติเราจะเล่าถึงผลกระทบที่เขามีกับตัวเราคนเดียว แต่ว่าผลกระทบของเขามันส่งผลต่อวงกว้างในครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่ง และมันก็ขัดเกลา ให้เราเป็นคนที่พยายามที่จะไม่เป็นแบบเขา โดยที่เราไม่รู้ตัวหรอกว่าทำได้หรือไม่ได้ วันหนึ่งเราอาจจะค้นพบว่าเราเหมือนแม่ แต่เรื่องนี้ถ้ามันไม่เขียนออกมา มันไม่แฟร์ต่อบางคน หรือบางเหตุการณ์ที่มันได้เกิดขึ้นจริงๆ ถ้าเราโดนเลี้ยงโดยครอบครัวอีกแบบ เราก็จะไม่ใช่คนแบบนี้ แต่พอเราโตมากับคนที่ดูแลเราด้วยวิธีนี้ เราก็โตมาเป็นแบบนี้ ถ้าถามว่าทรายชอบตัวเองทุกวันนี้ไหม ทรายชอบ ดังนั้นถ้ามันจะมีคุณูปการอะไรอยู่บ้าง มันก็คือสิ่งที่เขาทำกับเรา เพียงแต่ว่าระยะเวลาที่จะเห็นหน้า เห็นหลัง เห็นผล มันเร็วมันช้า มันไม่เท่ากัน มันใช้เวลา และมันถึงเวลาที่ต้องเล่า
ทรายคิดว่าที่เล่นหนังได้เป็นเพราะแม่มากกว่าพ่อด้วยซ้ำ ความระแวดระวัง ความเห็นแต่ไม่กล้าพูด ความที่แม่ด่าถ้าเล่นไม่ดี มันรุนแรงกว่า แม่คือความผู้ขัดเกล่าทำให้เป๊ะ ‘อย่าไปถึงกองทำหน้าปูด’ ทำแย่ๆ ไม่ได้ ฉันทำได้คนเดียว ต้องอย่างนี้ๆ มันทำให้ทรายเป็นทราย ซึ่งถามว่าเรื่องพวกนี้มันดีไหม มันดี แต่ถามว่ามันส่งผลจิตใจไหม ส่งผล มันมีผลจริงๆ แต่หน้าที่การงานก็เป๊ะ เหมือนทรายซ้อมการแสดงทุกวันเพราะว่าเราต้องผ่านวันนี้ไปกับเขาให้ได้
เรื่องของ ‘ความเป็นแม่’ กับ ‘บทบาทของแม่’ ดูจะเป็นธีมหลักของเรื่อง มีมุมมองอย่างไรเกี่ยวกับประเด็นนี้
ทรายทำไม่ได้ มันยาก มั่นใจมาก เป็นแม่แมวตัวเดียว ทรายยังจะบ้า กังวลไปหมดถ้า ‘ลูก’ เสียงแหบ พาไปหาหมอ มันวุ่นวายไปหมด ทรายรู้เลยว่าทำไม่ได้ รู้ตัวมานานแล้วว่าไม่สามารถเสียสละให้เด็ก ให้ลูก ถ้าเราอยากนอนแล้วลูกร้อง เราก็ต้องไปดูลูก ไม่ได้นอน อีกอย่างเพราะว่ามันเป็นช่วงชีวิตที่เราต้องสปอยล์แม่เรามากๆ ก่อนที่เขาจะต้องไป ถ้าให้ทรายมีลูกเพื่อ ‘เปิ้ล’ ความรู้สึกแบบนี้อีก ต้องทุรนทุราย พอแล้ว
เรารู้สึกว่าการเป็นแม่มันยาก ต่อให้เลี้ยงส่งๆ มันก็ยังยาก เวลาตั้งท้อง ครีมก็ทาไม่ได้ นั่นก็ทาไม่ได้ กินไม่ได้ แค่นี้ก็เรารู้สึกห่อเหี่ยว เพราะฉะนั้นคนเราไม่ควรมีไอเดียกับการอยากเป็นแม่แต่ห่อเหี่ยว ดังนั้นถ้าใครจะมีลูก ทรายว่าเก่ง ทรายนึกภาพการเป็นแม่ไม่ออก แค่คิดเรื่องการนอนก็จะเป็นบ้า มันแย่มากเลยถ้าต้องอดนอน ออกกองอดนอนแต่ได้ตังค์ ยังรู้ว่าเราทำเพื่ออะไร มันง่ายมันตรงไปตรงมา แต่ ‘การไห้ร้องของเด็ก’ นั้นจะเอาอะไร ทรายไม่รู้
ทรายรู้สึกว่าถ้ามีลูกต้องแย่กว่าแน่นอน เราไม่ควรส่งต่อวงจรนี้ พอเถอะ การเป็นแม่ในมุมของเราจึงเป็นยอดมนุษย์
ครอบครัวสนับสนุนการเขียนไหม
มันเป็นเหมือนกิจกรรมส่วนตัว เขาไม่เข้ามาวุ่นวายกับเรา แม่ก็ไม่ค่อยเข้ามาวุ่น แต่ว่ามีกรณี (แม่เข้ามาถาม) ‘นี่เรื่องฉัน ใช่ไหม?’ เขาถามแต่ไม่เข้ามาวุ่นวาย นอกจากจะถามว่าเดือนนี้เราส่งต้นฉบับหรือยัง เป็นเรื่องเชิงวินัยมากกว่า ทรายว่าเขาก็อ่านบ้างแล้วเห็นตัวเองในนั้น แต่ไม่พูดดีกว่า ปล่อยให้ทำไป เขาก็อาจจะรู้ว่าสิ่งนี้เป็นช่องทาง เป็นพื้นที่บางอย่าง ‘เขียนไปเถอะ’ ดีแล้ว ทำได้ก็ทำ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ทรายเขียนไม่ไหวแล้ว เขาก็จะ ‘ทำไมทำไม่ได้ มันต้องเขียน’ และที่เขาถามว่า ‘ทำไมไม่เขียน’ เป็นในเชิงว่าทำไมไม่รับผิดชอบ ไม่ในเชิงซัพพอร์ตจิตใจ เขารู้สึกว่านี่คืองาน เหมือนงานที่ต้องออกไปข้างนอก (ไปออกกอง)
นอกจากตัวละครแม่แล้ว มีตัวละครตัวไหนในเรื่องที่อยากพูดถึงเป็นพิเศษอีกไหม
ไม่มีเจาะจง เรารู้สึกว่าคนที่เราไฮไลต์ในเรื่องนี้ก็เป็นแม่อยู่ดี กับการใช้อำนาจบางอย่างของเขา เพียงแต่ว่าคราวนี้คนที่โดนมันไม่ใช่แค่เรา ถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่ยูรในเรื่องมันมีผลกระทบกับพวกเราไหม มันกระทบ ดังนั้นไฮไลต์ของมันเหมือนจะเป็นพี่ยูร แต่ว่าที่มาของมันก็ยังเป็นที่เดิมอยู่ดี
ตอนเขียนเรื่องนี้ เจออุปสรรคอะไรไหม
ไม่มี ยกเว้นง่วง อย่างที่เล่าไปแล้วว่าวิธีการทำงานของเรา (เป็นการจดทด) โชคดีที่เราทดไว้ทุกอย่าง พอเราใช้ระบบโทรศัพท์มันก็จะทดๆ ไปเรื่อยๆ อย่างที่บอกว่าเราไม่ได้เขียนลงคอมพิวเตอร์ ทุกอย่างมันก็จะอยู่หมด การที่เราทดไว้ใน (โทรศัพท์) ในวันที่แม่เราไม่อยู่แล้ว มันก็ยังมีอะไรบางอย่างในวันนั้นรู้สึกว่าต้องเอากลับขึ้นมา
อยากให้ลองชวนผู้อ่านที่สนใจเรื่องสั้น ‘ปลายผมของพี่ยูร’
มาอ่านเลยไม่มี trigger warning! สำหรับผู้ชอบชาเลนจ์ สำหรับผู้ชอบความท้าทาย ทรายคิดว่าหนังสือมันเป็นเรื่องเล่ามากกว่า ต่อให้มันเกี่ยวกับคุณหรีอไม่เกี่ยวแต่อย่างน้อย มันเหมือนเวลาเพื่อนมาเล่าให้ฟัง คุณไม่สามารถบอกเพื่อนได้ว่า ‘ไม่เอานะเรื่องนี้ไม่เล่า’ เรื่องนี้มันเป็น session บางอย่างที่คนมาแชร์เรื่องกัน สิ่งที่ทำให้เราเป็นเรา แต่ละคนมีเรื่องส่วนตัวที่สื่อสารกับตัวเอง แต่ละคนมีเรื่องราวซุกอยู่ในใจ เป็นบำบัด session ให้กัน
แล้วตอนนี้มีโปรเจกต์หรือเรื่องที่กำลังซุ่มเขียนอยู่หรือเปล่า
ไม่ซุ่ม อย่างน้อยในปีนี้คือไม่มี และเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องสุดท้ายแล้วที่เราจะเขียน เพราะตราบใดที่ไม่มีเรื่องใดที่มากระตุ้นให้เรารู้สึกว่า เรามีเรื่องที่จะต้องเล่าจะต้องสื่อสาร มันก็ไม่มี เรื่องนี้มันใหญ่ที่สุดแล้ว พอมันจากไปแล้วมันก็จากไปจริงๆ ทั้งหมดทั้งมวลในกระบวนการเขียนขึ้นมามีจุดต้นกำหนิดที่ทำให้เราคิด มี react กับบางเรื่องมีจุดหลักๆ มาจากแม่
ในเมื่อวันนี้เขาไม่อยู่แล้ว เราก็รู้สึกว่า เราควรจะวางเขาได้จริงๆ เหมือนที่เขาไม่อยู่แล้ว ถามว่าจะมีเรื่องเล่าได้ไหม ต่อให้มีคนตายไปจากชีวิตเรา พ่อแม่ ปู่ยาตายาย เรามีเรื่องที่ให้คิดถึงเขาได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่เรื่อง “เล่า” เท่านั้นเอง
มีอะไรอยากฝากทิ้งท้ายไหม
ทรายว่าทุกคนมีเรื่องอยากเล่า ไม่อยากให้รู้สึกผิดเลยเวลาที่จะคิดถึงอะไรที่มันทำลายเราจริง ๆ บางทีเราอาจจะเป็น living proof ว่าเรื่องจุกจิกที่เราเล่าให้ใครฟัง และเขาจะตัดสินเราไปในรูปแบบหนึ่ง มันจะสร้างตัวตนเราขึ้นมาบางอย่างแต่มันจะทำลายเราไม่ได้อย่างแท้จริง ทรายมั่นใจพอสมควรว่าผ่านอะไรหลายอย่างมาก เหลือแต่ช็อตไฟฟ้า ในวันหนึ่งที่เราต้องเป็นคนพาแม่ แล้วต้องเซ็นใบอนุญาตให้ช็อตเพื่อรักษา
มันกลับกัน เรารู้สึกว่าเขาหนักมือกับเรามากๆ ในหลายๆ วันของชีวิต แต่ในวันหนึ่งที่เราต้องตัดสินใจให้แม่รับการรักษาแบบนี้ นี้คือไปแกล้งเขาหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าแค่เป็นไข้แล้วให้กินพารา มันใหญ่กว่านั้นมาก ใช่ ถ้าเราเซ็น การผ่านการรักษานี้เพื่อที่สุดท้ายแล้วเขาจะกลับมาอยู่กับเรา และเราจะต้องรับผิดชอบมันร่วมกัน
สิ่งนี้มันยาก มันจะทำให้เขาเป็นเขาอยู่ไหม แล้วถ้าเขายังเป็นเขา มันจะดีต่อเราไหม แล้วเขาจะเป็นอะไร มันเป็นการยุบตัวเขาอย่างที่เขาเป็นหรือเปล่า ไปทำลายสิ่งที่เขาเคยเป็นแล้วให้เขางอกขึ้นมาใหม่หรือเปล่า หรือจริงๆ เขาก็แค่งอกต่อจากอันที่มันพังไปแล้วมาต่อได้เลย มันเป็นช่วงเวลาที่ยากมาก ๆ ทั้งหมดที่เขาโบยตีเรา เขาทำลายหรือเปล่า และสิ่งที่เราเซ็นไปวันนั้นคือการทำลายความเป็นเขาที่เขาเคยเป็นมาหรือเปล่า มันคือการทำอะไรหลายอย่างไปพร้อมๆ กัน ทั้งคิดและไม่คิดถึงผลกระทบในเวลาเดียวกัน
คำว่า ‘ทำลาย’ มัน impact กับเรา จะบอกว่าเขาทำลายเรามาก แต่เราก็โตมาไม่แย่ มันขัดเกลา เราในรูปแบบหนึ่ง แต่มันก็มีผลทางใจ ทำให้เราเป็นเรา จนวันหนึ่งความรู้สึกอะไรหลายอย่างๆ ที่เคยโดนเขาทำลายมาก่อน โตมาเป็นคนที่ต้องมาเซ็นใบนี้ พ่อทรายเป็นอัลไซเมอร์ ทรายนึกออกว่าเวลาคนโดนทำลาย มันไม่ใช่แค่จำคนอื่นไม่ได้ แต่มันจำตัวเองไม่ได้เลย มันเผาทิ้งเหลือแต่ซากและไม่มีอะไรงอกกลับมาอีกแล้ว แต่ของแม่ช็อตแล้วจะหายไปเลยแบบนั้นหรือแค่ฝ่อ
แม้เรื่องบางเรื่องจะไม่สามารถเล่าได้ทั้งหมดในบทสัมภาษณ์เดียว แต่สิ่งที่ ทราย เจริญปุระ ยืนยันผ่านสายตาและคำพูดอย่างแน่วแน่ คือการ ‘เล่า’ ยังสำคัญเสมอ ไม่ว่าจะเพื่อเยียวยา เพื่อทำความเข้าใจ หรือแค่บันทึกความรู้สึกไว้ไม่ให้สูญหายไปกับกาลเวลา
ขอขอบคุณร้าน CoffeeTreegarden สำหรับบรรยากาศร่มเย็นสบายๆ เค้กขนมหวาน และพื้นที่สำหรับนั่งพูดคุยตลอดช่วงบ่าย
ร่วมสัมภาษณ์: จารุรัมภา บุตรศรี, นิวัต พุทธประสาท และปรียา พุทธประสาท