ชีวิตโดยย่นย่อไร้สรุป เรื่องสั้น โดย พิชญ อนันตรเศรษฐ์ เรื่องสั้นที่เขียนในวันคริสต์มาสอีฟ เพื่ออุทิศให้แด่การสูญเสียความรักและผู้คนมากมายให้กับความตายตลอดปีที่ผ่านมา กับการตั้งคำถามถึงความตาย แม้คำตอบยังคงล่องลอยไปกับควันและฤดหนาวที่มาเยือนอย่างเชื่องช้า
แสงวิบวับจากรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลที่อยู่ไม่ไกลจากบ้าน จอดนิ่งอยู่บริเวณหน้าหอพักที่ตั้งอยู่ทางหัวมุมซอย ซึ่งผมต้องผ่านทุกครั้งในการจะเดินเลี้ยวขวา และเดินตรงไปอีกไม่เกิน 40 เมตรก็จะถึงหน้าบ้านของผม
ในทุกครั้งที่ผมเห็นรถของโรงพยาบาลมาจอดหน้าหอพัก ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 ตึกในอาณาบริเวณเดียวกัน แต่ละตึกจะมีความสูง 4 ชั้น ส่วนจำนวนห้องนั้น ผมไม่แน่ใจที่จะบอกจำนวนได้อย่างถูกต้องนัก แต่การเห็นแสงสัญญาณไซเรนที่หมุนวนเปล่งประกายระยิบระยับอย่างเงียบงัน มันไม่ใช่สถานการณ์ที่ปกติเอาเสียเลย จินตนาการของผมมักทำงานไปในเชิงลบเสมอ มันคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ว่า อาจมีใครซักคน ที่จะต้องถูกหามลงมาในเวลาที่ถนนในซอยเริ่มร้างผู้คน เหมาะเจาะต่อการปิดบังอำพราง เพื่อไม่ให้ผู้คนในบริเวณโดยรอบ ได้รับรู้ความจริงที่ไม่จำเป็นต้องรู้ เพราะถ้าเกิดว่ารู้เข้า ก็คงหนีไม่พ้นต่อการขยายความไปสู่คำร่ำลือต่างๆ นานา เท่าที่จินตนาการจะทำงาน จนกว่าจะยกระดับไปสู่ความระแวง หรือแม้กระทั่ง เรื่องเล่าชวนขนหัวลุกซักเรื่อง ซึ่งจริงไม่จริงไม่รู้หรอก มันเป็นเรื่องสนุกของคนที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่ไม่สนุกแน่นอนสำหรับคนที่เกี่ยวข้องกับตึกหลังนี้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
มีที่ไหนบ้างที่ไม่เคยมีคนตาย…..ผมบอกตัวเองเช่นนั้น เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเห็นรถฉุกเฉินขับเข้ามาจอดแบบนี้ การมีสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย หลากหลายจากถิ่นฐานที่จากมาเพื่อการมาเช่าห้องในตึกเป็นที่ซุกหัวนอน มันคงต้องมีซักครั้งนึงที่จะมีใครซักคนตายอยู่ภายในห้อง หรือไม่ก็ป่วยเจียนตายทุรนทุรายโดยที่ทุกความเป็นไปแทบจะไม่ลอดทะลุกำแพงมายังห้องข้างๆ อาจมีบางกรณีที่เสียงบางเสียงแผดก้องจนทำให้คนข้างห้องต้องรู้คำตอบในที่สุด นั่นล่ะ ความจริงจึงมักจะปรากฏ แม้ว่าหลายต่อหลายครั้ง มันปรากฏสายเกินไป
มีบางครั้งเหมือนกันที่ผมได้เห็นกับตาตัวเอง ผ้าดิบสีขาวมอซอคลุมร่างๆ หนึ่ง ได้รับการแบกลงมาโดยหน่วยกู้ภัยที่ช่วยกันแบกหัวท้ายข้างละคน เสียงกระซิบกระซาบของบรรดาไทยมุง ซึ่งก็เป็นคนในละแวกบ้านที่ผมรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดี ปะปนไปมากับเสียงกดหน้าจอเพื่อพิมพ์อะไรซักอย่างโดยคนบางคนที่ผมไม่รู้จัก แต่ที่ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดมากที่สุด คือเสียงการยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปศพ เพราะอย่างน้อยที่สุด ต่อให้เป็นคนแปลกหน้า ก็ควรจะให้เกียรติกันบ้าง แต่ผมก็คิดเพียงในใจ ตามวิถีของพวกที่ถ้าไม่จวนตัวหรือเกิดเหตุซึ่งหน้าจริงๆ ก็ไม่ปราถนาที่จะหาเรื่องใส่ตัวหรอกนะ ให้ดราม่าเป็นเรื่องของคนอื่น ทำเยี่ยงไรก็จะได้แรงสะท้อนกลับมาเยี่ยงนั้น โลกไหลหลากของ Data และสังคมออนไลน์มีธรรมชาติเป็นเช่นนั้นสำหรับผม
ผมเดินห่างจากความอลหม่านที่อาจจะปรากฏเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่อยากเห็นหรอกว่าจินตนาการจะตรงกับความจริงหรือไม่และเมื่อไหร่ ผมตัดสินใจเดินกลับบ้าน
ในเวลานี้ ภายในบ้านของผมยังมืดสลัว แสงรำไรของท้องฟ้าเมื่อเข้าสู่หน้าหนาว ส่องแสงสีม่วงอมส้มระเรื่อฉาบท้องฟ้าภายนอกบ้าน ผมเริ่มเปิดไฟบนเพดาน เสียงแอ๊วๆดังแว่วมาจากซักมุมนึงในห้องรับแขก เจ้าแมวสีส้มตัวน้อยอายุเพิ่งพ้น 2 เดือนมาไม่กี่วัน ค่อยๆเดินเตาะแตะเข้ามาคลอเคลียที่ปลายขา ผมเพิ่งรับอุปการะแมวตัวนี้เมื่อ 2 วันที่ผ่านมา และตั้งชื่อมันว่า “โมเนต์” นั่นเพราะสีส้มของมันทำให้ผมนึกถึงฝีแปรงในแนวทางอิมเพรสชันนิสต์ของ คล็อด โมเนต์ เมื่อผมนั่งลงบนโซฟา โมเนต์ก็ยังพยายามตะกายตามขึ้นมาเพื่อมาขอหมอบอยู่ข้างๆ เพราะเมื่อมันตั้งท่าจะขึ้นมานอนบนตัก ผมก็ทำเสียงเอ็ดเบาๆ เป็นเชิงปราม เพราะไม่อยากให้มาเกะกะในตอนที่ผมอยากจะเอนหลัง เปิดมือถือ และไถดูความเป็นไปในเฟสบุ๊ค
และสองสิ่งแรกที่ผมเห็นหน้าฟีด คือการแจ้งเตือนความทรงจำในอดีต และสถานะในปัจจุบันของเพื่อนคนหนึ่ง เพื่อการบอกกล่าวว่า รุ่นพี่ที่ผมสนิทมากคนหนึ่ง ฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดลงมาจากห้องพักภายในคอนโด ชั้น4
ความรู้สึกแรกนั้น คือการงงงวย หมุนเคว้ง และไม่สามารถจะบังคับตัวเองเพื่อจะจับประเด็นของเหตุการณ์ เพราะอีกด้านหนึ่ง ความทรงจำที่แจ้งเตือนขึ้นมา เป็นภาพการเต้นรำของผมกับอดีตคนรัก กับข้อความที่บอกอย่างตรงไปตรงมาว่า นี่คือวันครบรอบ 2 ปี แห่งการเลิกรากัน
มีที่ใดบ้างที่ไม่เคยมีคนตาย มีชีวิตใดบ้างที่ไม่เคยต้องร่ำลา….. ผมเลือกจะหาคำปลอบตัวเอง สลับกับการอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับงานศพที่จะถูกจัดขึ้นอีกไม่ช้าถ้อยคำอาลัยมากมาย ไหลบ่าดั่งน้ำท่วมโลก ต่อให้หัวใจผมจะแข็งแกร่งดั่งลำกระดูกงูใต้ท้องเรือของโนอาห์ แต่มันก็ต้องเกิดการโคลงเคลงจนแทบจะเสียสูญอยู่รอมร่อ พื้นฐานของมนุษย์ หากว่ามันเป็นประดิษฐกรรมจากบางสิ่งที่เราเลือกใช้คำนิยามว่า “พระเจ้า” มนุษย์นั้นก็เต็มไปด้วยข้อชำรุดมากมาย หนึ่งในสิ่งที่ชำรุดก็คือ เราไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อทนทานต่อความสูญเสีย และธรรมชาติของเราไม่ได้ทำให้เราก้าวผ่านความเสียใจได้อย่างง่ายดายนัก ต่อให้จะบริโภคปรัชญาโบราณมากี่ร้อยกี่พันปีก็ตาม
โมเนต์นอนหมอบนิ่งอยู่ข้างตัว ราวกับรับรู้มวลความรู้สึกภายในตัวผม ผมเพียงแค่ใช้มืออันใหญ่ตัวลูบหัวอันเล็กจิ๋วของมัน เสียงแง๊วดังขึ้นมาครั้งนึง แล้วตามมาด้วยเสียงกรนในลำคอ ดีแล้วล่ะที่มันเป็นแมว ไม่ต้องเปิดรับการแชร์ความรู้สึกของมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งมันคงไม่มีวันเข้าใจ
ผมใช้ชีวิตมานานเพียงพอแล้ว หรือว่าทั้งหมดที่ผ่านมามันยังไม่ใกล้เคียงกับคำว่าพอ… ขบวนคำถามเคลื่อนเข้ามาเทียบท่าพร้อมกับจอดแน่นิ่งอยู่ภายในใจ คล้ายอยากจะรอฟังบางคำตอบ
ผมค่อยๆ ประคองร่างโมเนต์ไว้บนมือ พาเดินไปยังจุดที่วางหอคอยของเล่น มันเป็นแท่งที่ถูกพันรอบด้วยเชือกเพื่อให้แมวได้เล่นโดยเฉพาะ โมเนต์กระโดดเกาะแท่งเชือก และเหวี่ยงตัวเองพันละวันราวกับการกระโจนตัวเองเข้าสู่สนามรบส่วนตัว ส่วนผมนั้น เลือกที่จะเดินออกไปหน้าบ้าน ที่บัดนี้ ท้องฟ้าได้มืดสนิท เสาไฟหน้าบ้านสว่างขึ้นแล้ว ผมเดินออกไปนอกประตูบ้าน แล้วจึงควักบุหรี่ออกมาสูบ
แรงเสียดสีไร้นิยามปรากฏขึ้นภายในทรวงอก ผมรู้สึกได้ถึงการเอ่อท้นขึ้นมาเรื่อยๆ นี่อาจเป็นสิ่งที่ผมเคยอ่านเจอในนิยายหลายเล่ม สิ่งที่เรียกว่าก้อนสะอื้น ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ยังไม่อยากรู้สึกถึงการล้นหลั่งที่ยากต่อการควบคุม กระแสความคิดหมุนวนชนดะภายในหัว เหมือนกระแสน้ำอุ่นและกระแสน้ำเย็นเสียดปะทะอย่างลึกเร้นใต้ความเรียบนิ่งแห่งมหาสมุทร อีกหนึ่งคือการยังไม่สามารถลืมความรักที่ผ่านมา มันเป็นความรักที่เล่นงานผมได้ไม่ต่างกับแผ่นดินไหว และอีกหนึ่งคือการยังไม่อาจตั้งตัวต่อความตายที่จู่โจมอย่างรวดเร็ว เป็นความตายที่ไม่อาจคาดคะเน ไม่อาจพยากรณ์ และต่อให้จะท่องมาแทบเป็นแทบตายว่า มนุษย์ทุกคนไม่อาจหนีพ้น ถ้อยคำที่ท่องมาก็พร้อมจะปราสนาการไป
ผมค่อยๆ ก้มหน้าลงมา สิ่งที่เอ่อออกมาแล้วก็ไหลอาบและบ่าสู่เบื้องล่างตามกฎแห่งแรงโน้มถ่วง อดไม่ได้ที่จะหันไปมองยังปากทางที่เคยมีรถฉุกเฉินจอด บัดนี้เหลือเพียงความว่างเปล่า และทั้งซอยตอนนี้ ก็มีผมยืนอยู่เพียงลำพัง
สูบนิโคตินเข้าไปอีกอึกนึง เป่าควันออกมาจากปากอย่างอ้อยอิ่ง ตั้งใจให้บางอวยควันละล่องปะทะน้ำตาที่ยังคงค้างอยู่ที่ริมหางตา ยกมือขึ้นมาป้าย แล้วความนิ่งก็กลับมาสงบจากภายในอีกครั้ง
มีชีวิตใดบ้างที่ไม่เจ็บปวด มีความเจ็บปวดใดบ้างที่ไม่เคยมีความสุขปะปนอยู่ในนั้น…… ผมจำแววตานั้นได้เสมอ แววตาที่ทำให้ดวงดาวบนฟ้าต้องยิ้มตาม ริมฝีปากแย้มยิ้มที่ทำให้ผมเหมือนได้เห็นเหล่านกหลากสีสันบินออกมา ต่อให้บัดนี้ผมไม่มีสิทธิ์จะตามฝูงนกเหล่านั้นให้บินกลับมาอีกแล้ว แต่นั่นก็คือสิ่งที่จดจำได้เสมอ คนที่ผมรักมากที่สุดแม้ไม่อาจรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ได้ หลังจากนั้นคือแหลกสลายแล้วก็ค่อยๆ กลับมายืนอย่างทุลักทุเล แม้ตอนนี้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบเลยก็ตาม แต่บางบทเรียนที่เกิดขึ้น ก็ทำให้ผมได้รับรู้รสชาติอย่างถึงที่สุด ทั้งการสิ้นสุด การเริ่มต้นใหม่ และการให้อภัยตัวเอง
ความรักและความตาย ผลัดเปลี่ยนกันเป็นเรือนร่างและรูปเงาของกันและกัน ส่งผลสะท้อนทั้งอ่อนบางและโหมกระหน่ำตามความใกล้ชิดของสายสัมพันธ์ และนั่นก็คือโฉมหน้าจริงของโลก ซึ่งแม้นานๆครั้งมันจะเผยโฉมให้เห็น แต่มันก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเพื่อซ่อนเร้นเลย ขึ้นอยู่กับเราที่จะได้หวนกลับมารับรู้ความจริงนี้เมื่อไหร่
ลมหนาวพัดกราวตรงดิ่งเข้ามาปะทะร่าง มันแสบนัยน์ตาและทำให้ได้สะดุ้งตัวอีกครั้ง ว่าตอนนี้ ผมยังมีชีวิต ชีวิตที่ยังตอบไม่ได้ว่า พอแล้วหรือยังไม่พอต่อการยังได้โอกาสที่จะใช้
บางหยดน้ำตาเลือนหายไปกับสีกระดำกระด่างของพื้นถนนแล้ว หันหน้ากลับเข้าบ้าน เห็นแล้วล่ะว่าเจ้าโมเนต์มานั่งรอที่หน้าประตู เดาได้ไม่ยากว่า กำลังมองหาใครซักคนมาแกะซองขนมแมวเลียเพื่อมัน
โดยไม่ต้องคิดอะไรให้ลึกซึ้ง หากจะถามว่ามีชีวิตเพื่อสิ่งใดในปัจจุบันขณะนี้ ก็คงเป็นการให้อาหารแมว และพรุ่งนี้ต้องไปงานสวดศพคืนแรก ส่วนบางความรู้สึก หากยังไม่จางหายไปไหน ก็อยากจะเอามวลรู้สึกที่ว่านั่น มาเขียนเป็นอะไรซักอย่าง
จะพอแล้วหรือว่ายังไม่พอนั้น ไม่รู้สินะ ขอใช้ๆ ไปก่อนก็แล้วกัน ไอ้อะไรสักอย่างที่เรียกว่าชีวิตน่ะ