Table of Contents
เมื่อโลกหันหลังให้กับพระเจ้าเพื่อสนับสนุนทุนนิยม นักบุญจะเหลือบทบาทใด? นี่คือหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกนำเสนอผ่านภาพยนตร์ Happy as Lazzaro (2018) กำกับโดย อลิซ โรห์วาเคอร์ (Alice Rohrwacher) ซึ่งเหล่าผู้รักหนังหลายคนน่าจะรู้จักกันดี
โดย Happy as Lazzaro เป็นเรื่องที่สามที่เธอกำกับ ได้รับเลือกให้เข้าชิงรางวัลปาล์มดอร์ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2018 ซึ่งเธอได้รับรางวัลบทยอดเยี่ยม
เมื่อไม่นานมานี้เอง ผู้เขียนได้มีโอกาสรับชมหนังเรื่องนี้และคิดว่าเรื่องนี้เป็นที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก หนังเรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวของลาซซาโร คนงานหนุ่มน้อยผมยุ่งผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ ใช้ชีวิตเป็นเกษตรเช่าพื้นที่การเกษตรในไร่ยาสูบชื่อ Inviolata กับคนงานอีก 54 คน แต่มิตรภาพที่ไม่คาดคิดกับลูกชายเจ้าของไร่ยาสูบทำให้ชีวิตของพวกเขาต้องเปลี่ยนไป
เอกลักษณ์ของอลิซ โรห์วาเคอร์ยังคงเด่นชัดในหนังของเธอ ภาพยนตร์ของเธอนั้นมักถ่ายถอดเรื่องราวของผู้คนธรรมดาผ่านตำนานท้องถิ่นและรากเหง้าประวัติศาสตร์ของอิตาลี โดยหนังเรื่องนี้ถ่ายถอดเรื่องราวของชนชั้นแรงงานแต่ผสมผสานกับสัจนิยมมหัศจรรย์ผ่านเรื่องราวปรัมปราของนักบุญในศาสนาคริสต์
ความมหัศจรรย์ของลาซซาโรนี้เอง ที่หนังสร้างความประทับใจให้ใครหลาย ๆ คน รวมถึงผู้เขียน ในดวงตาสีเขียวกว้างของเขานั้นละทิ้งทุกความแปดเปื้อนท่ามกลางความโหดร้ายของโลกทุนนิยม
1. เนื้อหาบางส่วนของ Happy as Lazzaro
เรื่องดำเนินอยู่ที่ไร่ยาสูบห่างไกลชื่อว่า Inviolata (แปลว่า “untouched” หรือ “มิได้ถูกแตะต้อง”)
กลุ่มชาวเกษตรเช่าพื้นที่ทำไร่ต้องทนทุกข์กับชีวิตที่เหน็ดเหนื่อยอย่างไม่มีข้อกังขา รับจ้างทำไร่ยาสูบและอยู่อาศัยกันแออัดอยู่ 54 คนกับความมืดสนิทยามค่ำคืนโดยแบ่งหลอดไฟหลอดเดียวกันใช้

ชาวบ้านและพื้นที่เช่าทำเกษตรตกอยู่ภายใต้อำนาจของอัลฟอนซิ นา เดลูนา เจ้าของไร่ยาสูบ หรือ “ราชินีบุหรี่” ซึ่งคนงานที่นี้ติดหนี้ทบทุก ๆ เดือนโดยไม่รู้ตัว ไม่เคยได้รับค่าจ้างและอนุญาติให้ออกจากพื้นที่ โดยพวกเขาขาดการติดต่อกับโลกภายนอกมาหลายชั่วอายุคน
ลาซซาโรเป็นคนงานในไร่ยาสูบที่ใจบริสุทธิ ไม่ว่าจะได้รับคำสั่งที่มอบให้จากชาวนา เจ้าของไร่ยาสูบ หรือลูกชายของเธอ เขาไม่เคยปฏิเสธ รอยยิ้มงดงามของเขายังคงอยู่เสมอแม้จะต้องทำงานหนัก
เรื่องราวเล่าผ่านสายตาของหนุ่มคนนี้ที่เผยให้เห็นถึงชีวิตของคนงานที่ต้องยอมทำตามข้อตกลงโดยอาศัยอยู่ในตึกกันแออัด ไม่ถูกสุขอนามัย ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าแต่แลกกับผลผลิตในระบบวงจรที่เรียกว่า “เมซซาเดเรีย” (Mezzadria) หรือเกษตรผู้ไม่มีที่ดิน ทำไร่นาบนที่ดินคนอื่นซึ่งเป็นระบบตั้งแต่ยุคกลางที่เลิกกันไปนานแล้ว
วันหนึ่ง โชคชะตาก็เล่นตลก ลูกชายของเจ้าของไร่ยาสูบชื่อแทนเครดี วางแผนที่จะหลบหนีจากหมู่บ้านเพราะอยากหนีจากการควบคุมของแม่ อยากมีชีวิตของตัวเอง และที่สำคัญที่สุด เขารับไม่ได้ที่แม่ตัวเองหลอกใช้และเอาเปรียบชาวบ้านที่นี้


แทนเครดีผูกมิตรกับลาซซาโร และตัดสินใจแกล้งทำเป็นว่าถูกลักพาตัว พวกเขาสองคนซ่อนตัวกันในถ้ำรกร้างและวางแผนกันเขียนจดหมายเรียกค่าไถ่ปลอมเพื่อขูดรีดเจ้าของไร่ยาสูบ แทนเครดีหยอกล้อกับลาซซาโรว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาอาจเป็นพี่น้องต่างมารดา เพราะว่าพ่อเขามีผู้หญิงหลายคน
ลาซซาโรหลงเชื่อจริงจัง คิดว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกันจริง ๆ สำหรับลาซซาโร มิตรภาพครั้งนี้คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตเขา เพราะเขาไม่เคยมีเพื่อนมาก่อน
ทว่าแผนการของทั้งสองทำให้ครอบครัวเจ้าของไร่ยาสูบประสบกับหายนะ ตำรวจออกตามหาแทนเครดีที่ “หายตัวไป” นำไปสู่การค้นพบชุมชนทาสที่ถูกจองจำกับขุนนางเจ้าของที่ดิน เมื่อตำรวจมาถึง พวกเขาต่างตกตะลึงกับสิ่งพบและชี้แจงต่อชาวเกษตรที่ไม่รู้ว่าการทำไร่รวมกันเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายมานานแล้ว คนงานสมควรได้รับค่าจ้าง และเด็ก ๆ ควรได้เรียนหนังสือ ไม่ใช่ถูกใช้แรงงาน
ตำรวจได้พากันอพยพชาวไร่กลับเข้าเมืองเพื่อลงทะเบียนผู้อยู่อาศัยและนำเข้าสู่ระบบ “ราชินีบุหรี่” ถูกจับกุม เกิดเป็นเรื่องอื้อฉาวให้โลกได้รับรู้กันในชื่อ “การหลอกหลวงครั้งใหญ่” (Great Swindle)
ทว่าขณะลาซซาโรกำลังตามหาแทนเครดี เกิดอาการมึนหัวเป็นไข้จากการโดนใช้แรงงานมาอย่างหนัก ผลัดตกลงจากหน้าผาและสลบไป 30 ปี ถูกทอดทิ้งและไม่ได้รับการช่วยเหลือจากการเปิดโปงครั้งนี้
แต่เขากลับฟื้นขึ้นมาด้วยสภาพที่ไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย เป็นหนุ่มผมยุ่งตาใสอยู่เช่นเคย เขาตื่นมาค้นพบว่าหมู่บ้านนั้นรกร้าง บ้านของเจ้าของไร่ยาสูบมีโจรเข้ามาแอบขโมยของเล็ก ๆ น้อย ๆ จากซากที่ยังคงเหลือ
ลาซซาโรมุ่งเป้าตามหาชาวไร่และ”พี่ต่างมารดา” หวังว่าจะได้ช่วยพวกเขาอีกครั้ง พร้อมกับค้นพบว่าชีวิตของชาวบ้าน”ที่ถูกช่วยเหลือ” แท้จริงแล้วอยู่กันอย่างคนไร้บ้าน ผ่านมา 30 ปี กลับไม่มีอะไรดีขึ้น พวกเขายังคงถูกกดขี่เช่นเดิม จากเป็นทาสศักดินาสู่การเป็นทาสในโลกทุนนิยม
2. สู่ความบริสุทธิ์ที่เหนือจริง
ผู้เขียนคาดว่าเมื่อหนังมาถึงจุดนี้ หลายคนไม่คาดคิดว่าเรื่องราวจะเข้าสู่พื้นที่ของความเหนือธรรมชาติได้ขนาดนี้
ในหลายบทวิจารณ์ แนะนำให้ผู้ชมดูกันแบบ “blind” หรือ “ปิดตา” ไม่อ่านสปอยล์ใด ๆ ที่อาจเปิดเผยถึงความมหัศจรรย์ของลาซซาโรในครึ่งหลัง เพราะอาจทำให้เรื่องราวเหนือจริงเข้าไม่ถึงผู้ชม
ผู้เขียนเองนั้น ”ปิดตา” ไม่แอบค้นหาเรื่องสรุปย่อ และค้นพบด้วยตนเองถึงความมึนงงว่าจริง ๆ แล้วลาซซาโรคืออะไร? ทำไมเขานั้นยังคงเยาวว์วัยแม้ผ่านไป 30 ปี?
ในครึ่งแรกของหนัง เต็มไปด้วยกลิ่นอายภาพยนตร์นีโอเรียลลิสม์ (Neo-Realism) ถ่ายผ่านฟิลม์ 16 มม. เล่าเรื่องอย่างเรียบง่าย เรื่องราวใช้สายตาของลาซซาโรที่เป็นคนนอก คอยติดตามไปที่มุมต่าง ๆ ของหมู่บ้าน ผ่านการช่วยเหลืองานที่คนมักเรียกลาซซาโรเวลาต้องการแรงงาน
เรื่องราวดำเนินไปอย่างช้า ๆ ให้เราได้คอยชื่มชมกับความเป็นเด็กน้อยของลาซซาโร จนความเหนือธรรมชาติค่อย ๆ แทรกซึม จนถึงจุดสูงสุดเมื่อเฉลยว่าลาซซาโรอาจไม่ใช่คน
เมื่อมาถึงครึ่งหลังของหนัง โรห์วาเคอร์นำองค์ประกอบของงานประเภทสัจนิยมมหัศจรรย์เข้ามา โดยผสมผสานโลกความเป็นจริงธรรมดาสามัญกับเรื่องราวจากไบเบิล

โดยหนังใช้สัญญะเปรียบเทียบลาซซาโรกับลาซารัสแห่งเบทธานี นักบุญในคัมภีร์พันธะสัญญาใหม่ ผู้ถูกพระเยซูทรงชุบชีวิต หนังใช้เรื่องราวฟื้นคืนชีพและความดีงามที่บริสุทธิ์ในอุดมคติของศาสนา เป็นองค์ประกอบของความเหนือจริงที่เปิดเผยความไม่ลงรอยกันระหว่างความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และโลกทุนนิยม
จุดสูงสุงของความเหนือธรรมชาติ เมื่อเวลาไปเรื่องดำเนินไป 30 ปี ลาซซาโร “หลับพัก” และฟื้นขึ้นมา ไม่ใช่ในสภาพครึ่งคนครึ่งผีหรือยังไม่ตาย แต่ยังเยาวัลย์ราวกับลาซารัสในพระคัมภีร์ ฟื้นมาจากความตายด้วยฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์
ยิ่งไปกว่านั้นลาซซาโรผลัดตกลงไปยังหุบเขาท่ามกลางอันตรายจากหมาป่า ทว่าไม่ถูกแตะต้องแม้แต่น้อย เพราะหมาป่ารู้ว่าเขานั้นเป็นคนดีได้จากกลิ่นกาย

เมื่อเขาพบเจอชาวไร่ที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งตอนนี้ใช้ชีวิตรอดด้วยการขโมย ต่างแสดงความหวาดกลัวที่ลาซซาโรไม่เปลี่ยนไปเลย คิดว่าเขาคือผี คือปีศาจที่ตามหลอกหลอน แอนโทเนีย เด็กผู้หญิงจากหมู่บ้านที่โตเป็นสาว จำลาซซาโรได้เมื่อตอนเธอยังเด็ก ก้มลงคุกเข่าถึงปาฏิหาริย์เมื่อเห็นว่าลาซซาโรไม่เปลี่ยนไปเลย
ไม่ว่าพวกเขาจะมองลาซซาโรอย่างไร เขายังคงช่วยเหลือผู้คนเหล่านี้อยู่เสมอ เขาชี้ให้ชาวนาเห็นว่ารอบตัวเขามีความอุดมสมบูรณ์ที่ซ่อนอยู่ มันฝรั่ง แครอท และต้นไม้นานาชนิดเติบโตอยู่รอบ ๆ พวกเขาไม่จำเป็นต้องอดอยากอีกต่อไป
ลาซซาโรเปรียบเสมือนแสงสว่างในชีวิต ทว่าไม่มีใครสนใจ แม้เขาจะมีแต่ความหวังดี ทุกคนกลับเห็นแค่การเอาเปรียบ เราติดตามดูเขาไปตลอดทั้งเรื่องโดยหวังว่า วงจรแห่งการเอาเปรียบจะหยุดเมื่อไหร่
โรห์วาเคอร์ได้เสนอมุมมองให้กับเราผ่านบทสัมภาษณ์ของเธอ เธอสร้างหนังเรื่องนี้โดยตั้งใจให้เราไม่รู้สึกเหมือนตัวละครหลักร้อยเปอร์เซนท์ แต่เปรียบเหมือนเราจ้องมองไปที่ภาพวาดแต่ไม่รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับมัน เธอกล่าวว่าต้องการให้ผู้ชมระลึกได้ถึงบางอย่างใน “ภาพวาด” ที่สูญหายไปแล้วในมนุษย์
ลาซซาโรคือความงามที่ซ่อนอยู่ในมนุษย์ทุกคน เขาคือมนุษย์ก่อนบาปกำเนิดที่ไม่สามารถแยกแยะระหว่างความดีกับความชั่ว เพราะสำหรับเขา ทุกอย่างนั้นสมบูรณ์ในแบบที่มันเป็น เธอกล่าวว่าผู้คนมักจะเรียกคนประเภทนี้ว่าคนโง่ เหมือนเด็กที่ยังไม่สามารถคิดแยกแยะ
จากลาซซาโรในครึ่งแรก เป็นแค่เด็กชาวบ้านคอยช่วยเหลือทุกคน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สู่ลาซซาโรผู้บริสุทธิ์ดั่งนักบุญ การที่เขาเผชิญกับโลกด้วยความเอื้ออาทรที่ไม่เคยหยุดยั้ง เป็นจุดยึดที่มั่นคงที่สุดท่ามกลางสังคมที่ก้าวหน้าอย่างผิวเผิน
ในตอบจบที่ทั้งแสนวิเศษและน่าเศร้า ลาซซาโรมุ่งไปธนาคารเรียกร้องให้คืนทุกอย่างกับแทนเครดี “พี่ต่างมารดา” ทว่าสัญญาเตือนดังขึ้น พนักงานและลูกค้าต่างหวาดกลัวคิดว่าเขามีปืน กลับค้นพบว่า “อาวุธ” เป็นแค่หนังสติ๊ก ของขวัญมิตรภาพจากแทนเครดี ลูกค้าที่หวาดกลัวเข้ามารุมตีเขาจนตาย
ตอนจบดูจะให้ข้อสรูปว่าโลกนี้ไม่มีพื้นที่ให้ความหวังดีอีกแล้ว ลาซซาโรสูญเสียไปทุกอย่างยกเว้นความไร้เดียงสาของเขา สำหรับผู้เขียน ตอนจบนั้นทั้งสิ้นหวังและมีหวัง ลาซซาโรอาจดูเหมือนคนโง่ ทว่าหนังยังเหลือพื้นที่ให้กับความศรัทธาแม้จะแฝงด้วยการมองโลกในแง่ร้าย ลาซซาโรอาจไม่เหมาะกับโลกนี้อีกต่อไป พวกไร้เดียงสานั้นล้วนโง่เขลา หรือแท้จริงแล้วเราทุกคนอาจเป็นคนโง่เพราะเราเองไม่อาจไร้เดียงสาถึงเพียงนี้