1. Bungo Stray Dogs ‘วรรณกรรม’ กับ ‘สุนัขจรจัด’?

มากกว่าการหยิบยืมชื่อกับผลงานของนักเขียนผู้ทรงคุณค่าแห่งวงการวรรณกรรมมาปรับใช้ในการสร้างตัวละครพร้อมผนวกเข้ากับเนื้อหาแนวแอกชันแฟนตาซีตามสไตล์การ์ตูนเซเน็ง Bungo Stray Dogs (文豪ストレイドッグス) หรือชื่อภาษาไทย คณะประพันธกรจรจัด (แปลและจัดจำหน่ายโดยสำนักพิมพ์รักพิมพ์) ผลงานเรื่องนี้ยังได้สอดแทรกประเด็นสำคัญทางจิตใจว่าด้วยภาวะวิกฤตการณ์ดำรงอยู่ของมนุษย์ (existential crisis) ไว้ได้อย่างเฉียบคม เนื่องจากในโอกาสที่ตอนล่าสุดในฉบับมังงะของการ์ตูนเรื่องนี้ทำให้ผู้เขียนร้องไห้จนรู้สึกว่าตัวเองเป็นเต่าบนเตาย่างก็มิปาน ผู้เขียนจึงอยากชักชวนผู้อ่านมามองและพิเคราะห์เหตุการณ์กับความสัมพันธ์ของตัวละครในเนื้อเรื่องผ่านเลนส์ทฤษฎีปรัชญาอัตถิภาวนิยม (existentialism) เพื่อชี้ให้เห็นถึงความตื้นลึกหนาบางของการ์ตูนเรื่องนี้ที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้ฉากหน้าของความเป็นการ์ตูนแนวต่อสู้ดาษดื่นทั่วไป
Bungo Stray Dogs หรือชื่อเรียกย่อ บุงโก เป็นผลงานที่เกิดขึ้นจากการร่วมมือกันระหว่างผู้เขียนเนื้อเรื่อง คาฟก้า อาซากิริ และนักวาดการ์ตูน ซังโกะ ฮารุคาวะ เหตุการณ์ในเรื่องดำเนินอยู่ในโลกที่มีคนจำนวนหนึ่งถือครองพลังพิเศษเหนือธรรมชาติ หนึ่งในนั้นคือ นาคาจิมะ อัตสึชิ เจ้าของพลังพิเศษอสูรร้ายใต้แสงจันทร์ (มาจากเรื่องสั้น “The Moon Over the Mountain” ของนาคาจิมะ อัตสึชิ) เด็กหนุ่มขี้กลัวผู้ถูกวัยเด็กอันขมขื่นของตัวเองพันธนาการเอาไว้

ระหว่างทางที่เดินร่อนเร่ไปตามท้องถนนเพราะโดนไล่ออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า อัตสึชิได้พบเข้ากับชายหนุ่มน่าสงสัยนาม ดาไซ โอซามุ เจ้าของพลังพิเศษสูญสิ้นมนุษย์สมบัติ (มาจากนวนิยาย สูญสิ้นความเป็นคน ของดาไซ โอซามุ) ผู้อ้างตัวว่าเป็นคนของสำนักงานนักสืบติดอาวุธ การพบกันอันแสนพิลึกพิลั่นของทั้งคู่ทำให้อัตสึชิรู้ความจริงที่ว่าตนสามารถแปลงกายเป็นอสูรร้ายพยัคฆ์ขาวทรงอิทธิฤทธิ์ได้ ดาไซชักชวนอัตสึชิให้เข้ามาทำงานในสำนักงานนักสืบติดอาวุธซึ่งเป็นองค์กรปฏิปักษ์กับพอร์ตมาเฟีย อัตสึชิจำต้องเผชิญหน้ากับคู่ปรับตลอดกาลของเขา อะคุตะงาวะ ริวโนะสุเกะ ผู้ได้รับสมญาณามว่าเป็นหมาบ้าแห่งพอร์ตมาเฟียเพราะพลังพิเศษราโชมอนที่สามารถแปลงคุณสมบัติของผ้าคลุมให้กลายเป็นอาวุธอันน่าหวั่นเกรงได้ (มาจากเรื่องสั้น “ราโชมอน” ของอาคุตางาวะ ริวโนะสุเกะ) และต่อจากจุดนี้ เรื่องราวการดิ้นรนของบรรดาสุนัขจรจัดทั้งหลายเพื่อตามหาคุณค่าของการมีชีวิตในท่าเรือโยโกฮาม่าก็เริ่มต้นขึ้น
2. ว่าด้วยอัตถิภาวนิยมใน Bungo Stray Dogs
แน่นอนว่าพล็อตเรื่องหลักของบุงโกก็ยังคงหนีไม่พ้นการเผชิญหน้าระหว่างสององค์กรขั้วตรงข้ามเพื่อเป้าหมายทางอุดมการ์ณที่แตกต่างกัน โดยมีความสัมพันธ์แบบคู่แค้นคู่อาฆาตเคล้าคาวเลือดคลุ้งกลิ่นเหงื่อของอัตสึชิกับอะคุตะงาวะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ทว่าคุณลักษณะอันส่งผลให้บุงโกมีความลุ่มลึกมากเกินกว่าจะเป็นการ์ตูนต่อสู้แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นทั่วไปอยู่ที่พาร์ตการสำรวจจิตใจของตัวละครทั้งสองตัว ซึ่งอาซากิริกับฮารุคาวะก็เล่าพาร์ตดังกล่าวออกมาได้อย่างละเอียดลออ แต่บางครั้งก็สัตย์ซื่อเถรตรงจนแทบไม่ไว้หน้ากันเลยทีเดียว ยิ่งเนื้อเรื่องดำเนินก้าวหน้าไปมากขึ้น เราในฐานะผู้อ่านเองจะยิ่งสัมผัสได้ว่าเส้นแบ่งของศีลธรรมในเรื่องนี้มันเบลอมากเพียงใด และความขาว ๆ ดำ ๆ ทั้งหลายที่พอจะแยกแยะได้จากการแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายของตัวละคร แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่ปลายยอดบนสุดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้นเอง

ก่อนที่จะเข้าสู่ประเด็นแรก เราต้องมาทำความเข้าใจแก่นและสาระสำคัญของอัตถิภาวนิยมกันก่อน ในทัศนะของ ฌ็อง-ปอล ซาร์ตร์ (Jean-Paul Sartre) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสผู้เป็นหนึ่งในหัวหอกคนสำคัญของปรัชญาสำนักอัตถิภาวนิยม ซาร์ตร์นำเสนอว่าภาวะการดำรงอยู่ของมนุษย์มาก่อนสารัตถะ (existence precedes essence) กล่าวคือ ความหมายและคุณค่าของชีวิตเราไม่ได้ถูกกำหนดออกแบบมาล่วงหน้า แต่เป็นหน้าที่ของเราเองต่างหากที่ต้องค้นหาสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง ฉะนั้นแล้ว มนุษย์จึงเกิดมาพร้อมกับเจตจำนงเสรี (free will) และอิสรภาพในการเลือกกำหนดทางเดินชีวิตของตัวเอง ทว่าเสรีภาพนี้กลับมิใช่พรวิเศษล้ำค่าแต่อย่างใด แต่เป็นคำสาปต่างหาก ดังคำกล่าวของซาร์ตร์ที่ว่า “มนุษย์ถูกสาปให้เป็นอิสระ” (“Man is condemned to be free”) ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เราต้องรับผิดชอบผลลัพธ์จากการกระทำของเราเอง โดยที่เราไม่สามารถจะไปกล่าวโทษสังคม สภาพแวดล้อม หรืออิทธิพลอำนาจภายนอกใด ๆ ได้ นอกจากนั้น อัตถิภาวนิยมของซาร์ตร์ยังเชื่อมั่นในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งอธิบายได้ว่า มนุษย์เราต้องพึ่งพาสายตากับการมองเห็นของผู้อื่นร่วมด้วยในภารกิจค้นหาความเป็นปัจเจกบุคคล (subjectivity) ของเรานั่นเอง
ที่ต้องกล่าวถึงอัตถิภาวนิยมของซาร์ตร์เป็นเพราะแก่นเรื่องที่แท้จริงของบุงโกนั้นไม่ได้หลีกหนีหายไปอื่นไกลจากชื่อเรื่องเลย ตัวละครเกือบทุกตัวในบุงโกเป็นสุนัขจรจัดจรลีเร่ร่อนตามท่าเรือโยโกฮาม่าเพื่อค้นหาเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ของตัวเอง สังเกตได้ชัดเจนที่สุดจากตัวเอกของเรื่อง อัตสึชิเป็นผู้ประสบภาวะวิกฤตการณ์ดำรงอยู่อย่างรุนแรง เพราะโดนทารุณกรรมทั้งทางกายและจิตใจโดยผู้บริหารสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านับครั้งมิถ้วนเนื่องจากไม่สามารถควบคุมพลังพิเศษของตัวเองได้ บาดแผลฉกรรจ์จากวัยเด็กที่รักษาไม่หายนี้จึงส่งผลให้อัตสึชิใฝ่หาการยอมรับจากผู้อื่น เจ้าตัวเสียสละได้ทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น คิดเอาเองว่าหากทำเยี่ยงนี้แล้ว ตนจะได้รับบัตรอนุญาตจากสังคมให้มีชีวิตอยู่ต่อ
สารัตถะของอัตสึชิถูกกำหนดโดยผู้บริหารสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า อัตสึชิไม่เห็นคุณค่าในชีวิตของตัวเองเพราะโดนผู้บริหารสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าข่มเหงทำร้าย ปรามาสว่าอัตสึชิไร้ค่า ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ ทว่าหลังจากที่ผู้บริหารสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ สภาพจิตใจของอัตสึชิปั่นป่วนเนื่องจากไม่รู้ว่าควรจะจัดการความรู้สึกของตัวเองเช่นไร ดาไซในฐานะอาจารย์คนปัจจุบันบอกอัตสึชิเพียงว่า “คนส่วนใหญ่ถ้าพ่อตัวเองตายก็มักจะร้องไห้กันนะ”

ผู้เขียนเชื่อว่าคำพูดของดาไซคงจะเป็นที่โจษจันในบรรดาหมู่นักอ่าน (รวมถึงตัวผู้เขียนด้วย) ดาไซบอกให้อัตสึชิยอมรับว่าตัวเองเสียใจต่อการตายของคนที่เคยทำร้ายเจ้าตัวอย่างสาหัสในวัยเด็ก ดูจะเป็นฉากที่ตลกร้ายเหลือแสน แต่เมื่อลองมองในอีกแง่มุมนึงแล้ว ผู้เขียนคิดว่าคำพูดของดาไซสมเหตุสมผลและปลอบประโลมใจอยู่มิใช่น้อย
คำพูดของดาไซเป็นเหมือนเครื่องย้ำเตือนต่ออัตสึชิว่าสารัตถะที่ผู้บริหารสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทิ้งไว้ให้เจ้าตัวนั้นมิสำคัญอะไรเลยเมื่อเทียบกับทางเดินชีวิตที่อัตสึชิเลือกเองในปัจจุบัน อดีตอันขมขื่นไม่ได้เป็นตัวกำหนดให้อัตสึชิต้องเติบโตมาเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือแบบผู้บริหารสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ตรงกันข้าม อัตสึชิเรียนรู้ว่า “นรก” ที่ตัวเองเคยเผชิญมาเป็นเช่นไรและเขาต้องกระทำตนเยี่ยงไรเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นประสบชะตากรรมเดียวกันกับเขา นั่นจึงอธิบายบุคลิกนิสัยคล้าย “Martyr” ของอัตสึชิได้เป็นอย่างดี แม้จะเติบโตมาท่ามกลางความรุนแรง อัตสึชิก็มีอิสรภาพส่วนตัวตามทัศนะของซาร์ตร์ที่จะไม่เลือกเดินตามรอยเท้าของผู้บริหารสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ข้อนี้ถือว่าเป็นจุดที่ผู้เขียนชื่นชอบในบุงโกมากเลยทีเดียว ตัวมังงะนำเสนอว่า แทนที่จะให้ภูมิหลังหรือ “ปม” เป็นสิ่งกำหนดการกระทำและแนวคิดของเรา เราควรเลือกยอมรับบาดแผลในอดีตและเรียนรู้ที่จะอาศัยอยู่กับมันมากกว่า ด้วยเหตุเช่นนี้ อัตสึชิจึงสามารถปล่อยวางความเกลียดชังและร้องไห้ให้กับการตายของ “ผู้เป็นพ่อ” อย่างสุดใจได้

อะคุตะงาวะเองก็เช่นเดียวกัน เพราะเกิดและเติบโตในย่านสลัม ความรุนแรงและการสูญเสียจึงไม่ใช่สิ่งผิดแปลกสำหรับอะคุตะงาวะ เจ้าตัวถึงกับบรรยายชีวิตในสลัมว่าเป็นชีวิตที่ “มีแต่โคลนตม กลิ่นเน่า ความรู้สึกสมเพชตัวเอง” และ “ถูกจ้องมองแต่กลับไม่มีใครรู้ว่ามีตัวตน” กระนั้น จุดพลิกผันในชีวิตก็เกิดขึ้นเมื่ออะคุตะงาวะพานพบกับดาไซวัย 15 ปี ครั้นเจ้าตัวยังทำงานเป็นหนึ่งในผู้บริหารของพอร์ตมาเฟีย (ในไทม์ไลน์ปัจจุบันของเนื้อเรื่องหลัก ดาไซอายุ 22 ปีและสังกัดสำนักงานนักสืบติดอาวุธ) ดาไซยื่นข้อเสนอให้อะคุตะงาวะเข้าร่วมเป็นสมาชิกของพอร์ตมาเฟียภายใต้อาณัติของเขาเพื่อแลกกับการที่เขาจะมอบ “เหตุผลในการมีชีวิต” ให้แก่อะคุตะงาวะ ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบตกลงโดยดุษณี แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นการทำงานในองค์กรอาชญากรรม อะคุตะงาวะต้องทนรับการฝึกสอนอันรุนแรงและถ้อยคำผรุสวาทจากดาไซมากมาย จนเขามีความคิดว่าชีวิตที่คลุกคลีกับความรุนแรงมาตั้งแต่กำเนิดคงไม่มีคุณค่าอื่นใดอีกแล้วนอกจากการยอมรับจากดาไซ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมอะคุตะงาวะจึงชิงชัง “ศิษย์รักคนปัจจุบัน” ของดาไซอย่างอัตสึชิมากถึงขนาดอยากจะฆ่าให้ตาย

เราควรอ่านคาแรคเตอร์ของอะคุตะงาวะในทัศนะของซาร์ตร์อย่างไรดี ผู้เขียนคิดว่ากรณีของอะคุตะงาวะนั้นเข้าข่าย The Myth of Sisyphus (Le mythe de Sisyphe) ความเรียงเชิงปรัชญาของอัลแบร์ กามูส์ (Albert Camus) มากกว่า ตรงกันข้ามกับซาร์ตร์ สำนักอัตถิภาวนิยมของกามูส์นำเสนอว่าชีวิตของคนเรานั้น “ไร้สาระ” (“Absurd”) ไร้คุณค่า และไร้ความหมาย แต่นั่นแหละคือวิถีของชีวิต เราจำเป็นต้องจินตนาการว่าซิซีฟุสมีความสุขระหว่างเข็นหินขึ้นยอดเขา (“One must imagine Sisyphus happy”) ในการที่จะดำรงชีวิตอยู่บนโลกปัจจุบัน สภาพแวดล้อมที่อะคุตะงาวะเติบโตมารวมถึงการสั่งสอนของดาไซล้วนแล้วแต่ไม่เอื้ออำนวยให้เจ้าตัวมีทางเดินชีวิตเป็นอื่นนอกจาก “หมาบ้าแห่งพอร์ตมาเฟีย” แต่จุด ๆ นี้เป็นหลุมบ่อของเนื้อเรื่องจริงหรือ

อะคุตะงาวะกับอัตสึชิต่างก็ต้องการบัตรอนุญาตในการมีชีวิตจากผู้อื่นทั้งคู่ แต่อัตสึชิไม่ได้มีแนวคิดเช่นนี้เพราะเขายินยอม (แน่ล่ะ จะมีใครยินยอมพร้อมใจให้ตัวเองโดนทำร้ายทารุณบ้าง) ในทางกลับกัน ผู้เขียนมองว่าเพราะอะคุตะงาวะ “เกิดมาก็เหมือนตาย” ไปแล้วต่างหาก เขาจึงได้สมยอมรับเอาความรุนแรงและการยอมรับจากดาไซมาเติมเต็มชีวิตอันว่างเปล่ากลวงโบ๋ของเขา เพื่อให้มีแรงขับเคลื่อนใช้ชีวิตอยู่ต่อ ข้อนี้ยืนยันได้จากฉากที่อะคุตะงาวะสารภาพกับอัตสึชิว่าเจ้าตัวเป็นโรคร้ายเรื้อรังเกี่ยวข้องกับปอด ส่งผลให้เขามีเวลาใช้ชีวิตอยู่ต่ออีกไม่นาน ซึ่งสาเหตุของโรคก็มาจากสภาพอากาศเป็นพิษของย่านสลัมนั่นเอง เพราะชีวิตที่มีเวลาจำกัด จึงทำให้อะคุตะงาวะไม่สามารถจรลีแสวงหาการยอมรับจากผู้คนรอบข้างไปทั่วแบบอัตสึชิได้ เจ้าตัวยึดเอาดาไซเป็นหลักสำคัญ แม้นจะรู้อยู่แก่ใจว่าการกระทำของอดีตอาจารย์นั้นโหดร้ายและไม่สมควรค่าแก่การได้รับการอภัยเป็นอย่างยิ่ง อะคุตะงาวะจึงไม่ต่างอะไรกับซิซีฟุสที่พึงรู้ว่าชีวิตของพวกเขาทั้งคู่ไร้ความหมายมาตั้งแต่แรก (อะคุตะงาวะเป็นโรคปอดร้ายแรง ซิซีฟุสถูกลงทัณฑ์ให้เข็นก้อนหินขึ้นภูเขาตลอดไป) แต่ก็ต้องอดทนกล้ำกลืน เพราะขั้วตรงข้ามของชีวิตนั้นไม่ใช่ความตาย แต่คือการมีชีวิตอยู่โดยไร้จุดมุ่งหมายใด ๆ ต่างหาก
3. Bungo Stray Dogs ‘เสือ’ กับ ‘ราโชมอน’
กระนั้น ไม่ใช่ด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่าเพราะทั้งสองมีบาดแผลทางจิตใจเหมือนกันจึงเป็นกระจกเงาส่องสะท้อนให้กันได้ แต่เป็นเพราะทั้งคู่ไม่เคยมองอีกฝ่ายในฐานะ “ผู้ถูกกระทำ” ร่วมด้วยต่างหาก ซึ่งในส่วนนี้ก็ตรงกับทัศนะของซาร์ตร์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง “ปัจเจก” (Subject) กับ “วัตถุ” (Object) ซาร์ตร์เสนอว่ามนุษย์เราทุกคนต่างต้องการถูกระลึกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอัตภาพ แต่ในกระบวนการที่จะได้รับมาซึ่งอัตภาพนี้นั้นกระทำได้ผ่านการมองเห็นจากผู้อื่นเท่านั้น อะคุตะงาวะมองว่าอัตสึชิโง่เขลาที่มัวแต่จมปลักกับอดีตจนระลึกมิได้ว่าตัวเองในปัจจุบันมีทุกสิ่งอย่างเพียบพร้อมมากเพียงใด ส่วนอัตสึชิเองก็คิดว่าอะคุตะงะวานั้นแข็งแกร่งมากพออยู่แล้วแม้จะไม่มีคำพูดยืนยันจากดาไซ สำหรับทั้งคู่แล้ว อีกฝ่ายไม่เคยเป็นแค่ “เด็กกำพร้า/เด็กในสลัม” หรือ “วัตถุเปราะบางของสังคม” แต่เป็นตัวตนที่ต้องก้าวข้ามผ่านไปให้ได้ นั่นเท่ากับว่าอัตสึชิกับอะคุตะงาวะต่างยอมรับในความเป็นปัจเจกบุคคลของกันและกันนั่นเอง
อาจกล่าวได้ว่า ในโลกที่ชีวิตของคนเราไร้ความหมายและว่างเปล่าเพราะการมีอยู่ของพลังพิเศษ แม้นจะอยู่ภายใต้แผนการจัดฉากของดาไซ อัตสึชิกับอะคุตะงาวะเป็นสุนัขจรจัดสองคนหลงทางมาเจอกันเพื่อมอบคุณค่าในการมีชีวิตอยู่ให้กันและกัน ดังจะเห็นได้จาก “พันธสัญญา 6 เดือน” ที่อะคุตะงาวะเสนอว่าตนจะฆ่าอัตสึชิในอีก 6 เดือนข้างหน้า ข้อเสนอนี้ส่งผลให้อัตสึชิเลิกคิดเกี่ยวกับความน่าเวทนาอดสูของตัวเองในอดีตแล้วหันมามุ่งมั่นพัฒนาฝีมือให้ต่อกรกับอะคุตะงาวะได้ ส่วนทางด้านอะคุตะงาวะเองโดนอัตสึชิสั่งไม่ให้ฆ่าใครภายใน 6 เดือนนี้ก็จะได้เรียนรู้เช่นเดียวกันว่า ความรุนแรงที่เผชิญมาครั้นอาศัยอยู่ในย่านสลัมไม่ได้เป็นตัวกำหนดทางเดินชีวิตของเขาให้ต้องก้าวย่างไปบนทางอันรายล้อมไปด้วยซากศพเพียงอย่างเดียว

ท้ายที่สุดแล้ว แม้นบทสรุปของ “พันธสัญญา 6 เดือน” จะยังไม่เปิดเผย แต่ผู้เขียนคิดว่าหลักสำคัญที่บุงโกต้องการจะสื่อผ่านความสัมพันธ์ระหว่างอัตสึชิกับอะคุตะงาวะนั้นเรียบง่ายแต่แข็งแกร่งมากเลยทีเดียว นั่นคือ เพราะมนุษย์เราไม่สามารถมองเห็นเงาสะท้อนตัวตนของเราได้อย่างถ่องแท้ เราจึงจำเป็นต้องพึ่งสายตากับการมองเห็นของผู้อื่นร่วมด้วย อัตสึชิกับอะคุตะงาวะต่างฝ่ายต่างหลงทางในชีวิตจนมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่เหนือปลายเท้าของตัวเอง พวกเขาจึงจำเป็นต้องมีกันและกันเพื่อทดแทนในส่วนนี้
นอกจากเรื่องอัตถิภาวนิยมแล้ว บุงโกยังสอดแทรกประเด็นทางปรัชญา สังคม และการเมืองต่าง ๆ ไว้อีกมากมาย จนชวนให้สงสัยว่า นี่คือการ์ตูนต่อสู้พลังพิเศษจริง ๆ หรือเนี่ย ถึงกระนั้น พาร์ตแอกชันหรืองานภาพของการ์ตูนเรื่องนี้ก็มิได้น้อยหน้าไปกว่าเรื่องไหน ๆ เลย หากนักอ่านท่านใดที่กำลังมองหามังงะที่ครบเครื่องทั้งบู๊และบุ๋น ผู้เขียนก็ขอแนะนำ Bungo Stray Dogs หรือ คณะประพันธกรจรจัด มาไว้ ณ ที่นี้
4. บรรณานุกรม
- Sartre, Jean-Paul. “Existentialism Is a Humanism.” Marxists.org, World Publishing Company, 1946, www.marxists.org/reference/archive/sartre/works/exist/sartre.htm.
- Camus, Albert. “The Myth of Sisyphus.” The Philosophical Review, vol. 66, no. 1, Jan. 1957, https://doi.org/10.2307/2182859.
- Kafka Asagiri, et al. Bungo Stray Dogs. Volume 3. New York, Ny, Yen Press, 2017.
- Kafka Asagiri, et al. Bungo Stray Dogs. Volume 10. New York, Ny, Yen Press, 2019.
- Kafka Asagiri, et al. Bungo Stray Dogs. Volume 13. New York, Ny, Yen Press, 2019.
- Kafka Asagiri, et al. Bungo Stray Dogs. Volume 20. New York, Ny, Yen Press, 2021.
Comments 1