หนึ่งประสบการณ์ที่นักศึกษาปี 3 ฝึกงาน Intern หลายคนต้องพบเจอร่วมกันคือการฝึกงาน สำหรับบางคนอาจมีรุ่นพี่ที่แนะนำ หรือมีอาจารย์ที่ช่วยให้ข้อมูล แต่สำหรับเราแล้วเป็นเรื่องค่อนข้างยาก เพราะไม่มีรุ่นพี่ที่รู้จัก การหาข้อมูล เปรียบเทียบ และดูความเหมาะสมกับตัวเองเลยต้องทำเองทั้งหมด สำหรับเราการฝึกงานไม่ใช่แค่การเลือกสถานที่ แต่เป็นการให้ความสำคัญกับความสนใจ ความชอบ และเนื้องานที่อยากเรียนรู้จริง ๆ
1 เริ่มหาที่ฝึกงาน
ตอนที่เริ่มหาที่ฝึกงานเราจดสิ่งที่ตัวเองชอบ และไม่ชอบไว้หลายอย่าง เพื่อจะได้กำหนดขอบเขตงานที่เราชอบ ความต้องการที่จะเรียนรู้ในสายงานนั้นให้ตรงกับความต้องการของตัวเองที่สุด จนได้ข้อสรุปว่าเราอยากรู้จักงานในแวดวงหนังสือ/สำนักพิมพ์มากที่สุด จากนั้นเราจึงเริ่มหา และติดต่อไปตามสำนักพิมพ์ต่าง ๆ เพื่อสอบถามข้อมูลการรับเด็กฝึกงาน แต่เพราะว่าทางมหาลัยฯของเราอยากให้ส่งทีละบริษัท ทำให้ทุกครั้งที่เราส่งเรซูเม่ไปเราต้องรอการตอบกลับจากแต่ละสำนักพิมพ์ที่ใช้เวลาค่อนข้างนาน จึงสามารถส่งที่ถัดไปที่ต้องการได้ ซึ่งระหว่างที่เรารอแล้วรอเล่า เพื่อน ๆ ที่เลือกสมัครฝึกงานไปตามโรงแรม หรือสนามบินก็ได้รับการคอนเฟิร์มแล้ว แต่ตัวเราที่อยากฝึกงานในสำนักพิมพ์มาก ๆ ยังคงเคว้งคว้างลอยไปมา จนเราท้อ และไม่อยากฝึกงานแล้ว
จนกระทั่งเราไปเจอโพสต์ของแอคเคาท์หนึ่งในทวิตเตอร์เล่าเรื่องที่เขาฝึกงานที่สำนักพิมพ์เม่นวรรณกรรม เราเลยลองค้นหาข้อมูลของสำนักพิมพ์ ทำให้เห็นว่าหนังสือหลายเล่มเป็นหนังสือที่เราเคยเห็น และคิดจะซื้อมาอ่านบ่อย ๆ ด้วย เราเลยลองติดต่อ และส่งเรซูเม่ไป ซึ่งวันต่อมาก็มีอีเมลล์ตอบกลับมาเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับการฝึกงาน และตำแหน่งงาน จากนั้นเราเลยดำเนินการยื่นเรื่องให้ทางคณะทันที
2 ระหว่างฝึกงานทำอะไรบ้าง
งานที่เราได้ทำเมื่อมาฝึกงานคือการเขียนบทความ ซึ่งบทความแรกที่เราเขียนคือการเปรียบเทียบนิยายกอธิคของอังกฤษ และอเมริกา เนื่องจากเป็นเรื่องที่เราค่อนข้างสนใจในช่วงนั้น แต่ในการเขียนงานนี้ก็ค่อนข้างติดปัญหาหลายอย่าง เช่น การที่เราไม่แน่ใจข้อมูลของเนื้อหาที่เขียน ไม่รู้จะสรุปเนื้อหาทั้งหมดยังไงให้ยังมีพ้อยท์ครบทั้งหมด และการยกตัวอย่างงานวรรณกรรมที่เราไม่เคยอ่านมาก่อน แต่ปัญหาทั้งหมดนั้นเราแก้ด้วยการนั่งอ่านเนื้อหาต่าง ๆ เจอเว็บไหนก็อ่านหาข้อมูล ทั้งเว็บไซต์ที่ให้ความรู้เรื่องวรรณกรรม หรือบทความของต่างประเทศที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเราก็ได้นั่งอ่านเรื่องย่อของตัวอย่างงานที่เลือกมา ถ้าเรื่องไหนที่พอจะอ่านฉบับเต็มได้ เราก็จะอ่านเรื่องนั้นเพื่อให้ถ่ายทอดออกมาได้
2 บทความต่อมามีความคล้ายกัน เพราะเราเลือกที่จะแนะนำมันฮวาจากแอพKakao Webtoon และโคนัน เดอะมูฟวี่ ทำให้ทั้งสองบทความนี้ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ สำหรับเรา 2 บทความนี้อาจจะเป็นบทความที่ง่ายที่สุดจากที่เขียนมา เพราะเรื่องที่เราเลือกมานั้นเป็นเรื่องที่เราชอบอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีปัญหาอยู่ดี ระหว่างเขียนเราเขียนวนไปวนมา รู้สึกว่ายังวน ๆ อยู่ที่จุดเดิมประโยคไม่จบสักที การแก้ปัญหาของเราในการเขียนทั้งสองบทความนี้ คือ การไปนั่งดู/อ่านผลงานทั้งสองอีกครั้งหนึ่ง เพื่อทวนตัวเอง และจัดระเบียบความคิดให้ชัดเจนก่อนจะเขียนต่อ

บทความที่ 4 บทความนี้เป็นบทความที่เราชอบที่สุด และเป็นบทความที่ยากที่สุดเหมือนกัน คือการเขียนรีวิวหนังสือของสำนักพิมพ์ ชื่อว่า ทำลาย, เธอกล่าว แต่ปัญหาคือเราไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนเลยทำให้ระหว่างการเขียนเราเขียนไม่ออก สิ่งที่พิมพ์ลงไปวนอยู่ที่เดิม จนกลายเป็น run-on sentences เพื่อแก้ปัญหานี้เราเลยต้องค้นข้อมูล อ่านบทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมาประกอบการเขียน เพื่อเสริมมุมมองให้ตัวเอง และจากการเขียนบทความนี้ยังทำให้เราได้ใช้ความรู้จากวิชาวรรณกรรมที่ได้เรียนใช้จริง โดยช่วยในการตีความเนื้อเรื่อง และภาษาเขียนให้ดียิ่งขึ้น
บทความต่อมาเราเขียนเรื่องเกี่ยวกับเมดูซ่า บทความนี้เป็นอีกบทความหนึ่งที่เรารู้สึกว่าไม่ยากมาก เพราะเราชอบตำนานปกรณัมกรีกอยู่แล้ว แต่ก็มีปัญหาในการเขียนอีกครั้ง เพราะตำนานกรีกมีคนเขียนหลายคน บางทีคนเขียนก็เป็นชาวโรมัน บางทีก็เป็นชาวกรีก ทำให้บางเหตุการณ์ หรือตัวละครในเรื่องก็จะมีความแตกต่างกัน ปัญหาตรงนี้ทำให้เราไม่รู้ว่าควรจะเลือกเรื่องไหนขึ้นมาเล่าคร่าว ๆ พอในรู้จักตำนานเมดูซ่าดี ซึ่งการแก้ปัญหาของเราคือเราพยายามอ่านบทความอื่น ๆ ของทั้งไทย และต่างประเทศว่าหยิบเอาเวอร์ชั่นไหนมาเล่ามากกว่า เวอร์ชั่นไหนที่คนคุ้นเคยมากกว่า แล้วจึงไปอ่านตัวต้นฉบับเพื่อจับใจความเนื้อเรื่องลงไป
และบทความที่ 6 ที่เราได้เขียน เราเลือกเขียนเกี่ยวกับ Trigger Warning เพราะมีข้อถกเถียงกันหลายอย่างเกี่ยวกับการเขียนคำเตือนนี้ การเขียนบทความนี้ค่อนข้างยากเพราะข้อมูลมีไม่เยอะ ทำให้เราการเขียนติดขัด และรู้สึกว่าตันเป็นพิเศษ การเขียนบทความนี้เลยเป็นการเขียนบทความที่เราพัก แล้วสลับไปทำอย่างอื่นบ่อยที่สุด พอได้พักไปทำอย่างอื่น ความคิดก็เริ่มไหลลื่น แล้วกลับมาเขียนต่อ เราก็สามารถจัดระเบียบ และเรียบเรียงความคิดได้ชัดเจนมากขึ้น
ถึงทั้ง 6 บทความที่เราเขียนจะพบเจอปัญหาแต่ละอย่างที่แตกต่างกัน แต่ก็มีปัญหาที่เจอได้ในช่วงบทความหลัง ๆ ของเราที่เขียน นั่นคือ การหมดไฟ ยิ่งช่วงเขียนบทความที่ 5-6 เรารู้สึกหมดไฟมาก ๆ จนอยากนอนพักทั้งวัน แต่สุดท้ายเราก็พยายามลุกขึ้นมานั่งเขียนต่อให้เสร็จ ช่วงไหนที่รู้สึกคิดอะไรไม่ออกจริง ๆ เราก็หยุดพัก ปิดคอม เปลี่ยนบรรยากาศเล็กน้อย โดยการนั่งเล่นเกม หรือออกไปเดินเล่นข้างนอก แล้วกลับมานั่งทำอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นวิธีที่ช่วยได้มากจริง ๆ เพราะนอกจากที่เราสามารถเขียนต่อจนจบได้แล้ว เราก็ได้มานั่งอ่านทวนสิ่งที่เราเคยเขียนไว้ แล้วก็ได้ค่อย ๆ แก้ไข ปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ด้วย
3 สิ่งซ้ำๆ ที่เจอในงานของตัวเอง
หลังจากเขียนไปแล้ว 6 บทความ สิ่งที่เราคิดว่าเราเจอซ้ำ ๆ คือ เราค่อนข้างเขียนงานที่มองผ่านจากเลนส์ของสังคม และวัฒนธรรม อย่างบทความแรก เราก็ได้เขียนในแง่การสะท้อนสังคมผ่านงานวรรณกรรม บทความที่ได้รีวิวหนังสือของสำนักพิมพ์เราก็ได้เขียนโดนมองบริบทของตัวเรื่องผ่านเลนส์ของสังคมไทย และงานที่เขียนเกี่ยวกับเมดูซ่า เรามองเธอในฐานะเหยื่อของตำนานกรีก-โรมัน เราก็ได้เขียนถึงการตั้งคำถาม และอำนาจของวัฒนธรรม และสังคม ซึ่งทั้งหมดก็เป็นการเขียนที่สะท้อนการวิเคราะห์ที่เชื่อมโยงกับมุมมองโครงสร้างของสังคม
ส่วนอีก 3 บทความ สิ่งที่เราเจอตอนไปอ่านงานของตัวเองนั้น เราก็เจอว่าเราเขียนโดยที่ให้ความสำคัญด้านเนื้อหาที่จะส่งผลต่อผู้อ่าน โดยที่ทั้งการแนะนำมันฮวา และโคนันเดอะมูฟวี่ ไม่ได้แค่เล่าเรื่อง แต่พยายามทำให้เรื่องย่อของเรื่องนั้นให้น่าสนใจ และดึงดูดคนเข้าไปดู/อ่านงานนั้นได้ และบทความ Trigger Warning เราก็ได้เขียนในด้านผลกระทบทางอารมณ์ที่เนื้อหาอาจมีผลต่อผู้รับสาร โดยให้ข้อมูลถึงความจำเป็นในการแจ้งเนื้อหาที่อ่อนไหวก่อนนำเสนอสิ่งที่อาจกระทบความรู้สึกเชิงลบ
สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเห็นได้ว่า การเขียนของเรามักจะไม่มองแค่ตัวงาน แต่มองไปถึงบริบททางสังคมและผลกระทบที่เนื้อหานั้นจะมีต่อผู้อ่านอยู่เสมอ
4 การฝึกงานครั้งนี้ได้อะไร
จากการเขียนบทความทั้งหมดนี้ สำหรับสายภาษาแบบเรา สิ่งที่ติดตัวเราไปได้แน่ ๆ และได้ใช้บ่อย ๆ คือการวางโครงสร้างในการเขียนงาน ไม่ว่าจะการเขียนบทความ หรือการเขียน Essay การฝึกงานครั้งนี้จะทำให้เราได้ออแกไนซ์โครงสร้างของงานทุกงานได้ดีขึ้น จัดระเบียบเวลาเขียนอะไรได้มากขึ้น และการอ่าน หลังจากที่ได้มาฝึกงานเรารู้สึกว่าเราอ่านหนังสือได้เร็วขึ้นมาก ๆ ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ อีกทั้งทักษะการจับใจความของเราก็เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากต้องจับใจความข้อมูลหลายอย่างมาสรุปให้ได้ ซึ่งเราว่าเป็นข้อดีมาก ๆ เพราะการอ่านได้เร็วขึ้นสามารถย่นระยะเวลาในการทำสิ่งต่าง ๆ ได้ค่อนข้างมากทีเดียว
สำหรับเราการฝึกงานเป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที่ควรได้ลองทำในช่วงที่มีโอกาส เพราะเราได้รู้ว่าการทำงานนั้นต่างจากการเรียนในห้องอย่างไร และนอกจากที่เราจะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานแล้ว เรายังได้ลงทดลองทำงานในสายที่เราสนใจว่าเราชอบสิ่งนี้จริงหรือไม่ และเนื้องานเหมาะกับเราหรือเปล่า แม้ช่วงฝึกงานจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เราก็ได้เรียนรู้วิธีการทำงาน เพื่อพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นได้อีกด้วย