1. โรมิโอและจูเลียต ในม่านกาลเวลา: ถอดรหัสโศกนาฏกรรมรักผ่านมุมมองนักวิชาการเชคสเปียร์
ไม่ว่าความทรงจำแรกของเราเกี่ยวกับ โรมิโอและจูเลียต จะมาจากหน้ากระดาษหนังสือ, เวทีละคร, หรือจอภาพยนตร์ ภาพของ “จูเลียต” นางเอกโศกนาฏกรรมคนแรกของเชคสเปียร์ได้ถูกหล่อหลอมและตีความใหม่นับครั้งไม่ถ้วนตลอดสี่ศตวรรษที่ผ่านมา ตัวตนของเธอเปรียบเสมือนกระจกเงาที่สะท้อนค่านิยมและความกังวลของสังคมในแต่ละยุคสมัยได้อย่างน่าทึ่ง
โซฟี ดันแคน (Sophie Duncan) นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านเชคสเปียร์จากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด และผู้เขียนหนังสือ Juliet: The Life and Afterlives of Shakespeare’s First Tragic Heroine ได้มอบมุมมองเชิงลึกที่ท้าทายความเข้าใจเดิมๆ ของเรา และเผยให้เห็นว่าเหตุใดจูเลียตจึงยังคงเป็นสัญลักษณ์อมตะของความรักและโศกนาฏกรรมที่ยังคงตรึงใจผู้ชมจวบจนปัจจุบัน
2. จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ: กำเนิดตัวละครจูเลียตที่ไม่คาดคิด
ก่อนหน้าที่เชคสเปียร์จะเขียน โรมิโอและจูเลียต เขากำลังมุ่งมั่นสร้างชื่อเสียงจากบทละครอิงประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และบทละครสุขนาฏกรรมที่เต็มไปด้วยตัวละครหญิงคู่ปรับฝีปากกล้า ไม่มีสัญญาณใดบ่งชี้ว่าเขาจะหันมาเขียนโศกนาฏกรรมรูปแบบใหม่ ที่ไม่ได้มีศูนย์กลางอยู่ที่กษัตริย์หรือการเปลี่ยนผ่านอำนาจรัฐ แต่เป็นเรื่องราวความขัดแย้งของสองตระกูลและกลุ่มวัยรุ่นหัวรั้น
ดันแคนตั้งข้อสังเกตว่า เชคสเปียร์อาจเล็งเห็นศักยภาพของนักแสดงชาย (Boy Actor) ในคณะของเขาว่าสามารถแบกรับบทบาทนางเอกโศกนาฏกรรมที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้ เธอยังเชื่อมโยงการตัดสินใจนี้เข้ากับบทละครเรื่อง ฝันกลางคืนฤดูร้อน (A Midsummer Night’s Dream) คือสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบคม โดยกล่าวว่า โรมิโอและจูเลียต ตัดสินใจที่จะ ‘อยู่สู้’ ส่วนตัวละครอย่าง ‘เฮอร์เมีย’ ตัดสินใจที่จะ ‘หนีไป’ การตัดสินใจดังกล่าวได้ฉุดรั้งเรื่องราวพรมแดนสุขนาฏกรรมให้ดำดิ่งสู่โศกนาฏกรรมอย่างเต็มตัว
3. รูปแบบการเขียนที่เปลี่ยนโฉมหน้าตำนานใน โรมิโอและจูเลียต
เชคสเปียร์ไม่ได้เพียงหยิบยืมตำนานเก่าแก่มาเล่าใหม่ แต่เขาได้ปรับเปลี่ยนหัวใจสำคัญของเรื่องราวอย่างสิ้นเชิง:
- จากเรื่องเล่าสั่งสอนสู่ความเห็นอกเห็นใจ: ต้นฉบับภาษาอังกฤษที่เชคสเปียร์น่าจะรู้จักดีที่สุดคือบทกวีของ อาเธอร์ บรูก (Arthur Brooke) ซึ่งมีทัศนคติกล่าวโทษคู่รักหนุ่มสาวอย่างรุนแรงว่าเป็นเด็กดื้อรั้น ไม่เชื่อฟังครอบครัว และสมควรได้รับชะตากรรมนั้นแล้ว ในทางตรงกันข้าม เชคสเปียร์กลับมอบ “ความเห็นใจอันไร้ขีดจำกัด” ให้กับพวกเขา และชี้นิ้วกล่าวโทษไปที่ความผิดพลาดของเหล่าผู้ปกครองอย่างชัดเจน
- จูเลียตในวัย 13 ปี: การเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบมากที่สุดคือการที่เชคสเปียร์จงใจลดอายุของจูเลียตลงเหลือเพียง 13 ปี ในขณะที่ต้นฉบับอื่นๆ ระบุอายุไว้ที่ 15 หรือ 16 ปี การตัดสินใจนี้เพิ่มความเปราะบางและยกระดับความน่าตกใจของการกระทำของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะลอร์ดคาปูเล็ตผู้เป็นพ่อ ซึ่งตอนแรกก็ยังลังเลที่จะให้ลูกสาวแต่งงานเพราะเห็นว่ายังเด็กเกินไป แต่สุดท้ายกลับยอมแลกอนาคตของลูกสาวเพื่อผลประโยชน์ของตระกูล สำหรับผู้ชมในยุคนั้น การกระทำเช่นนี้ถือเป็น “ฝันร้ายที่สุดของผู้เป็นพ่อแม่”
“บุตรีของข้ายังเป็นหญิงแปลกหน้าในโลกใบนี้ นางมองเห็นดิถีแห่งจันทร์มายังไม่ครบสิบสี่ปี (นางอายุไม่ถึง 14 ปี) ให้อีกสองคิมหันต์โรยกาลเรืองรองลงก่อนเถิด เราค่อยมาคิดกันว่า นางสุกงอมพร้อมเป็นเจ้าสาวหรือยัง”
— โรมีโอกับจูเลียต — วิลเลียม เชคสเปียร์: เขียน, ศวา เวฬุวิวัฒนา: แปล สำนักพิมพ์เม่นวรรรกรรม (1.2.45)
4. จูเลียตบนเวทีแห่งการตีความ
เมื่อเวลาผ่านไป ภาพลักษณ์ของจูเลียตถูกดัดแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับรสนิยมและศีลธรรมของแต่ละยุคสมัย:
- ความตายอันเย้ายวน: ดันแคนชี้ให้เห็นถึงการทำให้ร่างไร้วิญญาณของจูเลียตกลายเป็นวัตถุทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นโรมิโอ, ปาริส หรือแม้แต่พ่อของเธอเอง ต่างก็พร่ำพรรณนาถึงความงามของเธอในเชิงอีโรติก แนวคิดนี้ถูกขยายผลในยุคต่อมา โดย เดวิด การ์ริก ได้เพิ่มฉากขบวนแห่ศพอันยิ่งใหญ่เข้าไปในบทละคร เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้จ้องมอง “ร่างอันงดงามที่ไร้วิญญาณ” ของเธอนานขึ้น ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมอย่างมาก
โรมีโอ
“อา จูเลียตที่รัก ไยเจ้ายังงดงาม หรือข้าต้องเชื่อว่า ความตายไร้รูปลักษณ์นั้นแท้จริงเปี่ยมรัก? ว่าปิศาจผอมแห้งน่าชังนั้นกักขังเจ้าไว้ ที่นี่ในความมืด เพื่อเป็นชู้รักของมัน”
— โรมีโอกับจูเลียต — วิลเลียม เชคสเปียร์: เขียน,ศวา เวฬุวิวัฒนา: แปล สำนักพิมพ์เม่นวรรรกรรม (5.3.262)
- จูเลียตในสายตาวิกตอเรีย: ยุควิกตอเรียที่เคร่งครัดศีลธรรมต้องเผชิญกับความท้าทายในการนำเสนอจูเลียตผู้มีความกล้าหาญทางเพศและดื้อรั้น พวกเขารับมือกับปัญหานี้ด้วยการใช้ตรรกะทางเชื้อชาติ โดยอธิบายว่าพฤติกรรมของเธอเป็นผลมาจาก “สายเลือดเมดิเตอร์เรเนียน” หรือ “ความเป็นคนใต้” ที่มีจิตใจเร่าร้อนและแก่แดด ซึ่งเป็นการผลักไสให้เธอแตกต่างจาก “เด็กสาวชาวยุโรปเหนือผู้ดีงาม”
- ไอคอนของชาวควียร์ผู้ซ่อนตัวในที่แจ้ง: ในศตวรรษที่ 19 ชาร์ล็อตต์ คุชแมน (Charlotte Cushman) นักแสดงหญิงชาวอเมริกันผู้โด่งดัง ได้สร้างปรากฏการณ์ด้วยการรับบท “โรมิโอ” การแสดงของเธอมีความใกล้ชิดทางกายอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งนักวิจารณ์มองว่าหากนักแสดงเป็นชายคงไม่สามารถทำได้ ความจริงที่ว่านักแสดงทั้งสองเป็นผู้หญิงได้กลายเป็นใบอนุญาตให้ผู้ชมเพลิดเพลินกับการแสดงความรักของคนเพศเดียวกันบนเวทีได้อย่าง “ถูกกฎ” ที่น่าทึ่งคือ นักแสดงหญิงหลายคนที่รับบทจูเลียตคู่กับเธอก็คือคนรักในชีวิตจริงของเธอเอง

5. จากโศกนาฏกรรมแห่ง “ความรัก” สู่ “ความเกลียดชัง”
ดันแคนแย้งว่าในยุค 60s แก่นของเรื่องราวได้ถูกเคลื่อนจาก “ความรัก” ไปสู่ “ความเกลียดชัง” อย่างมีนัยสำคัญ ภาพยนตร์อย่าง West Side Story และฉบับของเซฟฟิเรลลี ได้เปลี่ยนโศกนาฏกรรมรักให้กลายเป็นเรื่องราวของความขัดแย้งทางเชื้อชาติและสงครามแก๊งวัยรุ่น การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้ส่วนหนึ่งจากการตัดทอนบทพูดสำคัญของจูเลียตที่แสดงถึงความปรารถนาและความคิดอันลึกซึ้งของเธอออกไป ทำให้พื้นที่ของเรื่องราวถูกครอบงำด้วยความรุนแรงของตัวละครชาย