Table of Contents
1 วรรณกรรมประหลาด (weird fiction) คืออะไร?
ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะอธิบายว่า weird fiction คืออะไรกันแน่ มันไม่ใช่แค่เรื่องผี ไซไฟ หรือแฟนตาซี แต่มันคือการผสมปนเปของทุกอย่างเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นวรรณกรรมสายพันธ์ุใหม่ที่ไม่จำกัดตัวเองไว้ในกรอบของประเภทใดประเภทหนึ่ง เหมือนสิ่งมีชีวิตประหลาดที่มีแขนขาของหลายสิ่งมารวมกัน เกินกว่าจะจำแนกชัดเจน
ความแปลกประหลาดของวรรณกรรมประเภทนี้ไม่ได้อยู่ที่เรื่องราวเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ในบรรยากาศที่มันสร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศน่าพิรุธ ความผิดแปลกของโลกรอบ ๆ ตัว หรือความเข้าใจต่อความเป็นจริงที่กำลังพังทลายไปอย่างช้า ๆ โดยที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพราะอะไร
H.P. Lovecraft นักเขียนแนว cosmic horror สไตล์ตระกูลเลิฟคราฟท์ และผู้วางรากฐานให้ weird fiction เคยกล่าวเอาไว้ว่า เรื่องเล่าแบบ “weird” ต้องปลุกเร้าความรู้สึกสะพรึงลึกถึงขั้วหัวใจในตัวผู้อ่าน และการสัมผัสถึงแดนพิสดารนอกเหนือความเข้าใจ ราวกับการเงี่ยหูฟังเสียงจากชายขอบจักรวาล ในขณะที่ China Miéville นักเขียนยุคหลังมองว่า weird fiction คือการฉีกเยื่อบางๆ ระหว่างความธรรมดากับความลี้ลับออก แล้วปล่อยให้ “ของเหลวประหลาด” หรือสิ่งไม่พึงประสงค์ บางอย่างที่ไม่ควรจะมีอยู่ แต่กลับปรากฎขึ้นอย่างไร้ที่มา จากอีกโลกหนึ่งรั่วไหลเข้ามาในวันธรรมดา ๆ ของชีวิต
weird fiction จึงไม่เคยอ่านง่าย แต่ก็ไม่เคยน่าเบื่อ สำหรับใครที่อยากลองเดินทางเข้าไปในดินแดนประหลาดแห่งวรรณกรรมสายพันธุ์นี้ ผู้เขียนขออาสาคัดสรร weird fiction มา 5 เล่ม ที่รับรองว่าบางเรื่องอาจไม่เพียงแต่เขย่าขวัญ หากยังอาจสั่นคลอนความเข้าใจของคุณต่อโลกและตัวคุณเองไปพร้อมกัน
2 The Great God Pan by Arthur Machen
“You may think this all strange nonsense; it may be strange, but it is true,
and the ancients knew what lifting the veil means.
They called it seeing the god Pan.”
กรุงลอนดอนปลายยุควิกตอเรีย ในชนบทเวลส์ ดร.เรย์มอนด์ นักวิทยาศาสตร์ผู้เปี่ยมด้วยความทะเยอทะยานและเปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ เขามุ่งมั่นจะไขประตูสู่โลกแห่งจิตวิญญาณ ด้วยการผ่าตัดสมองหญิงสาวชื่อแมรี่ หวังให้เธอสามารถสัมผัสและมองเห็นเทพเจ้าแพน (Pan)
แต่ทันทีที่มีดผ่าตัดเฉือนผ่านสมอง สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่ใช่การไขประตูเข้าสู่อีกความเป็นจริง หากแต่เป็นโศกนาฎกรรมที่เปิดประตูให้กับหายนะมาสู่เมืองนี้ แมรี่เผยสีหน้าแห่งความปิติอย่างประหลาดเพียงครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวสุดขีด ร่างกายสั่นสะท้านตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ราวกับวิญญาณกำลังดิ้นรนและสั่นกลัว
หลายปีต่อมา ความลับที่เกือบเลือนหายกลับถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ผ่านเฮเลน วอห์น หญิงลึกลับผู้ปรากฏตัวในเมืองชนบทของเวลส์ และก่อให้เกิดเหตุการณ์พิศวงขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่าอย่างต่อเนื่อง
เด็ก ๆ ถูกล่อลวงให้เดินเข้าป่าในยามโพล้เพล้ หญิงสาวกลับมาจากป่าในสภาพเสียขวัญ และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เรื่องราวที่ดูเหมือนเป็นแค่ข่าวลือท้องถิ่น ค่อย ๆ ผูกโยงกับปริศนาในอดีต จนกลายเป็นเหตุการณ์สยองขวัญที่ใหญ่กว่าที่ใครจะคาดคิด
เหตุการณ์สะเทือนขวัญนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวดำมืด ที่จะค่อย ๆ คลี่คลาย นำผู้อ่านดำดิ่งสู่โลกของศาสตร์ต้องห้ามและความสยองที่เกินจะหยั่งถึง นี่เป็นหนึ่งในงานคลาสสิกของแนว weird fiction ที่ยังคงหลอกหลอนผู้อ่านมาหลายยุคสมัย The Great God Pan เปิดประตูสู่โลกที่วิทยาศาสตร์บรรจบกับความลี้ลับ
เจ้าของผลงาน Arthur Machen เป็นนักเขียนชาวเวลส์ผู้ได้รับการยกย่องจาก H. P. Lovecraft ว่าเป็นหนึ่งใน “เจ้าแห่งความสยองขวัญ” เพราะเขาเป็นผู้บุกเบิกแนวสยองขวัญใหม่ ๆ ด้วยงานเขียนที่เต็มไปด้วยบรรยากาศลึกลับ สัญลักษณ์ทางศาสนา และความกลัวต่อสิ่งที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของความเข้าใจมนุษย์
Machen เติบโตในครอบครัวนักบวชและมีความหลงใหลในตำนานพื้นบ้านตั้งแต่เด็ก เมื่อเขาเริ่มต้นชีวิตนักเขียนในสำนักพิมพ์ที่กรุงลอนดอน เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับพวกลัทธิเร้นลับและปรัชญาโบราณ ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของผลงานเขียนของเขาในยุคปลายวิกตอเรีย
ช่วงเวลานั้นสังคมอังกฤษตกอยู่ในวิกฤติด้านจิตวิญญาณ เกิดการตั้งคำถามต่อวิทยาศาสตร์ และความเสื่อมถอยทางศีลธรรม ความผันผวนทางวัฒนธรรมนี้ได้กลายเป็นฉากหลังสำคัญให้กับงานเขียนของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อง The Great God Pan
The Great God Pan ถือเป็นหนึ่งในงานต้นแบบของ weird fiction ซึ่งมีลักษณะเฉพาะคือการนำเสนอความสยองขวัญ โดยไม่ยึดติดกับภาพผีหรือปีศาจดั้งเดิม หากแต่เป็นความน่าสะพรึงที่เกิดจากการล่วงรู้ในสิ่งต้องห้าม ผ่านการทดลองที่ทะลวงขอบเขตของจิตใจมนุษย์ อิทธิพลของ Machen ปรากฎให้เห็นในงานของ Lovecraft อย่างชัดเจน อย่าง The Call of Cthulhu ซึ่งต่างแสดงให้เห็นถึงแนวคิดเดียวกันว่า มนุษย์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ในจักรวาลที่เต็มไปด้วยสิ่งลี้ลับที่ไม่ควรถูกปลุกให้ตื่นนั้นเอง
3 At the Mountains of Madness by H. P. Lovecraft
“It is absolutely necessary, for the peace and safety of mankind,
that some of earth’s dark, dead corners and unplumbed depths be let alone;
lest sleeping abnormalities wake to resurgent life,
and blasphemously surviving nightmares squirm
and splash out of their black lairs to newer and wider conquests.”
ไม่มีบทความไหนกล่าวแนะนำ weird fiction ได้ครบถ้วนหากไม่เอ่ยถึงผลงาน H. P. Lovecraft ผู้บุกเบิกนิยายสยองขวัญตระกูลเลิฟคราฟต์ ผสมผสานความสยดสยอง วิทยาศาสตร์และแฟนตาซี ด้วยแนวคิดจักรวาลนิยม (cosmicism) ของความหวาดกลัวของมนุษย์ต่อความไร้นัยสำคัญของตนท่ามกลางจักรวาลที่ใหญ่โตเกินกว่าจะเข้าใจได้
ณ เทือกเขาที่ยังไม่เคยถูกค้นพบ บนทวีปอันหนาวเหน็บ ดินแดนสุดท้ายที่ยังไม่ถูกบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์โลก เมื่อกลุ่มนักสำรวจทวีบแอนตาร์กติกานำโดย ดร.วิลเลียม ไดเออร์ นักธรณีวิทยา ค้นพบสิ่งลี้ลับที่ไม่ควรพบเห็น เขาเขียนเปิดเผยความลับจากการสำรวจครั้งก่อน โดยหวังว่าจะสามารถยับยั้งการเดินทางสำรวจรุ่นถัดไปให้ไม่กลับมาเยือนเทือกเขานี้อีก
ในการสำรวจครั้งนั้น พวกเขาค้นพบนครโบราณยุคบรรพกาล สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดก่ำกึ่งระหว่างพืชกับสัตว์ ทว่าการสำรวจครั้งนี้ นำไปสู่เรื่องน่าหวาดผวา ไดเออร์ค้นพบว่าทีมสำรวจล้วนถูกฆ่าตายอย่างน่าสยดสยอง
At the Mountains of Madness เป็นผลงานบุกเบิก weird fiction อีกเล่มหนึ่งที่เล่นกับความกลัวสิ่งลึกลับที่ไม่รู้จัก (the Unknown) เป็นการเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้และเกินกว่ามนุษย์จะจินตนาการถึง มนุษย์นั้นเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เมื่อเทียบกับเอกภพ และรูปแบบวิวัฒนาการอื่น ๆ ที่ก้าวล้ำขอบเขตจินตนาการของมนุษย์
ในบันทึก “Notes on Writing Weird Fiction” ของ Lovecraft เขากล่าวว่าเขาเขียนนิยายขึ้นไม่ใช่เพียงเพื่อเล่าเรื่อง แต่เพื่อเติมเต็มความปราถนาลึก ๆ ที่จะนำภาพเลือนลางในใจของเขาให้กลายเป็นภาพที่จับต้องได้
เขาเลือกเขียน weird fiction เพราะมันตอบสนองแรงผลักดันภายในได้ดีที่สุด เป็นความต้องการส่วนลึกที่จะหลุดพ้นจากข้อจำกัดของปริภูมิเวลา (spacetime) และกฎธรรมชาติ เพื่อสัมผัสสิ่งที่อยู่นอกกรอบเลนส์วิทยาศาสตร์ ความกลัวจึงกลายเป็นหัวใจของเรื่องราว โดยเฉพาะเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ Lovecraft เชื่อว่าความหวาดกลัวต่อสิ่งที่อยู่นอกเหนือข้อจำกัดเหล่านี้ คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด เป็นแก่นและจิตวิญญาณของนิยาย weird fiction ที่เขาเชื่อมั่นมาตลอด
At the Mountains of Madness จึงไม่ใช่แค่นิยายสยองขวัญตามขนบ แต่เน้นที่บรรยากาศที่ก่อให้เกิดความรู้สึกเยือกเย็นและเวิ้งว้างในแบบเฉพาะตัวของ Lovecraft ความสยองไม่จำเป็นต้องปรากฎอย่างโจ่งแจ้ง การค้นพบรูปร่างอันน่าสะพรึงของสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีรูปลักษณ์ตายตัว หรือความบ้าคลั่งที่ค่อย ๆ เผยจากการเล่าของตัวละคร ล้วนเป็นกลวิธีที่นำเสนอความกลัวต่อสิ่งที่อยู่นอกตรรกะความเข้าใจ แม้ Lovecraft จะไม่ได้การยอมรับในยุคของเขา แต่ผลงานชิ้นนี้กลับกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับวรรณกรรมและภาพยนตร์แนว cosmic horror นับไม่ถ้วน
4 The City & the City by China Miéville
“There is no case,” he told her. “There’s a series of random and implausible crises
that make no sense other than if you believe the most dramatic possible shit.
And there’s a dead girl at the end of it all.”
จะเป็นอย่างไร หากมีสองมหานครที่เป็นปฏิบักษ์อยู่เคียงข้างกัน ทว่าดินแดนไม่ได้ถูกแบ่งด้วยกำแพงดังเบอร์ลินตะวันออกกับตะวันตก แต่แยกจากกันด้วยวัฒนธรรมประหลาดของประชาชนที่เพิกเฉยกลุ่มคนอีกฝั่ง มหานครแฝดนี้ แท้จริงแล้วซ้อนทับกันอย่างแนบสนิทเป็นเมืองเดียวกัน แต่ชาวเมืองมุ่งมั่นที่จะมองข้ามไม่เห็น “เมืองอีกฝั่ง” ประชากรสองเมืองนี้ถูกฝึกตั้งแต่เด็กให้ “มองไม่เห็น” เมืองอีกฝั่งราวกับว่ามันไม่มีอยู่จริง
ศพหญิงนักศึกษาต่างชาติจากเมืองอุลโคมา ถูกพบบนถนนเมืองเบเซล สารวัตไทอาดอร์ บอร์ลูต้องสืบหาเหตุการตายของหญิงสาวคนนี้ การสืบสวนนำพาเขาไปเมือง “ฝาแฝด” อุลโคมา และเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งการเมืองระหว่างสองมหานคร และท้ายที่สุดก็พาเขาไปเผชิญหน้ากับตำนานเมืองออร์ซินี เมืองที่สามซึ่งเชื่อกันว่าอาจมีอยู่จริงในช่องว่างระหว่างเบเซลและอุลโคมา
จุดเริ่มต้นคือการสืบสวนปริศนาคดีฆาตกรรมและการข้ามพรมแดนไปอีกเมืองที่ไม่มีอยู่จริง ทว่าปริศนาที่แท้จริงคือวิถีชีวิตแปลกพิศดารของสองเมืองฝาแฝด ทฤษฎีสมคบคิด และความเป็นชาตินิยมของเมืองที่ไม่มีอยู่ นี่คืออีกผลงานประเภทปลาดคดีของ China Miéville ที่จะนำพาเราไปสำรวจจินตนาการถึงวัฒธรรมสุดประหลาดและแหวกแนวที่สุด
เจ้าของผลงาน China Miéville ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักเขียนแนว new weird รุ่นหลังจากนักเขียนคลาสสิก โดยผสมผสานแฟนตาซี ไซไฟ และแนวสืบสวนเข้าด้วยกันอย่างเฉียมคม ผลงานของ Miéville อย่าง Peridido Street Station, The Scar และ Iron Council ได้รับการยกย่องว่าเป็นการดึงกระแสของ weird fiction ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง Miéville ยังผลักแนวคิดใหม่ ๆ ในแวดวงวรรณกรรมแฟนตาซี ว่าสามารถเปิดความเป็นไปได้อื่น อย่างการทำให้สิ่งคุ้นเคยในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งแปลกประหลาด
The City & the City เป็นแนว weird fiction ยุคใหม่ที่หลอมหลวมนวนิยายสืบนวนเข้ากับ urban fantasy ด้วยฉากหลังเป็นเมืองฝาแฝดซ้อนทับกันกับผู้คนที่ทำเป็นไม่เห็น “เมืองอีกฝั่ง” นิยายเรื่องนี้จึงท้าทายขอบเขตของพรมแดนประเภทวรรณกรรม เพราะเรื่องนี้สามารถเป็นทั้งนิยายแนวสืบสวนแบบสมจริงหรือนิยายแฟนตาซีที่ตั้งอยู่ในจักรวาลเหนือจริงก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น การมีอยู่ของ “เมืองที่สาม” อย่างออร์ซินี กลายเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งลี้ลับที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยกรอบความเข้าใจใด ๆ เลย ซึ่งเป็นหัวใจหลักของความปลาด (the weird)
5 Geek Love by Katherine Dunn
“A true freak cannot be made. A true freak must be born.”
เรื่องราวครอบครัวและโชว์ประหลาดที่พลิกโลกแห่งคณะละครสัตว์ให้กลายเป็นพื้นที่ทดลองมนุษย์ พ่อแม่เจ้าของคณะละครสัตว์ “ไบนิวสกี้” ดัดแปลงพันธุกรรมลูก ๆ ด้วยสารเคมีตั้งแต่ในครรภ์ เพื่อให้ลูก ๆ เกิดมาแปลกกว่ามนุษย์ทั่วไป ลูกร่างกายผิดรูปเหล่านี้คือโชว์ชิ้นสำคัญที่พวกเขาฝันว่าจะกอบกู้ธุรกิจได้ และพวกเขาก็ประสบความสำเร็จเกินคาด โดยเฉพาะ “อาร์ตี้” พี่ชายไร้แขนขาผู้เป็นที่รู้จักในนาม “อควาบอย” ผู้ที่ต่อมากลายเป็นผู้นำลัทธิสุดโต่ง ที่ศรัทธาว่าการตัดแขนขาคือการหลุดพ้น
เมื่อคณะเดินทางตระเวนทั่วชนบทอเมริกา พวกเขากลายเป็นทั้งดาราที่ถูกชื่นชมและสิ่งน่ารังเกียจในสายตาผู้ชม ภายใต้ม่านและเสียงปรบมือ ความสัมพันธ์ในครอบครัวนั้นทั้งวิปริตและพิเศษในแบบของพวกเขา มีการต่อสู้เพื่อความรัก การเสียสละ การแย่งชิงที่มีเลือดเนื้อเป็นเดิมพัน ความขัดแย้งระหว่างพี่น้องค่อย ๆ เผยให้เห็นอีกด้านของคำว่า “ครอบครัว” ที่แปลกประหลาดเกินกว่าเราจะเข้าใจ
ท่ามกลางความผิดปกติของร่างกาย Geek Love พาผู้อ่านไปสำรวจความเป็นครอบครัวที่ถูกประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนของบาดแผลและการกระทำทารุณ
Geek Love เป็นนิยาย weird fiction ที่นำเสนอความสัมพันธ์ครอบครัวที่ทั้งพิสดารและบิดเบี้ยวที่สุดเท่าที่มีการบันทึกลงบนหน้ากระดาษและอาจแทบไม่มีสำนักพิมพ์ไหนกล้ารับตีพิมพ์งานเขียนประเภทนี้อีกแล้ว
เจ้าของผลงาน Katherine Dunn เป็นนักเขียนผู้มอบเสียงให้กับ “ตัวประหลาด” ทั้งหลายบนโลกใบนี้ Dunn เติบโตท่ามกลางครอบครัวที่แตกแยก โดยเธอต้องย้ายถิ่นฐานอยู่บ่อยครั้งกว่าจะเจอที่ที่รู้สึกว่าเป็นของเธอเอง Dunn เคยบอกว่าโลกจะไม่รับรู้ว่าเรามีค่าแค่ไหน จนกว่าเราจะแสดงเผยให้เห็นถึงความน่ากลัว ซึ่งเป็นแนวคิวที่สะท้อนอยู่ในงานเขียนของเธอโดยตลอด Geek Love จึงเป็นผลงานที่ทำให้เธอเป็นที่รู้จักไปทั่วสหรัฐฯ เรื่องเล่าของเธอนั้นไม่ธรรมดา เพราะเธอนั้นสร้างโลกที่คนชายขอบ ผู้ถูกเรียกว่าตัวประหลาด สามารถเปล่งเสียงของตนได้อย่างไม่ต้องขอความยอมรับจากใคร
6 Annihilation by Jeff VanderMeer
“The effect of this cannot be understood without being there.
The beauty of it cannot be understood, either,
and when you see beauty in desolation it changes something inside you.
Desolation tries to colonize you.”
เปิดฉากด้วยการเดินทางกลุ่มสำรวจหญิงนิรนาม 4 คน นักชีววิทยา นักมานุษยวิทยา นักจิตวิทยา และผู้สำรวจ พวกเธอเป็นคณะสำรวจชุดที่ 12 ที่ได้รับมอบหมายให้เข้าไปสำรวจ “Area X” พื้นที่ชายฝั่งที่ถูกปิดตายจากโลกภายนอกมาเป็นเวลากว่าสามสิบปี จากการค้นพบรายงานการสำรวจจากครั้งก่อน การเดินทางก่อนหน้าทั้งหมดจบจบลงด้วยคำถามที่มากยิ่งขึ้น
บันทึกของนักชีววิทยาซึ่งเป็นผู้เล่าเรื่อง ค่อย ๆ เปิดเผยความลึกลับที่หลงเหลือจากคณะสำรวจชุดก่อนที่ไม่มีใครกลับมาเหมือนเดิม บางคนหายสาบสูญ บางคนกลับมาพร้อมกับอาการทางจิตหรือไม่สามารถจำได้ว่าเคยเข้าไปสำรวจใน Area X มาก่อน
เมื่อคณะสำรวจที่ 12 ข้ามเขตแดนเข้าไป ทุกอย่างใน Area X ดูจะขัดแย้งกับกฎทางวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่สิ่งปลูกสร้างที่ไม่มีอยู่ในแผนที่ ไปจนถึงข้อความประหลาดจากผนังที่เหมือนผิวหนังที่กำลัง “หายใจ” ของ “หอคอย” กลับด้านที่พาลงไปอุโมงค์ใต้ดิน เชื้อราในอากาศค่อย ๆ แปรเปลี่ยนสภาพจิตของผู้สำรวจ ขอบเขตระหว่างความจริงก็เริ่มเลือนราง พฤติกรรมของทีมเริ่มแตกแยก ความไม่ไว้วางใจค่อย ๆ กัดกร่อนความเป็นมนุษย์ เมื่อบางสิ่งในเงามืดเริ่มเผยตัวตน ทั้งยังอาจไม่ใช่สิ่งมีชีวิตตามที่เข้าใจ
Annihilation ไม่ได้เพียงพาเราผจญภัยในดินแดนลี้ลับ แต่ค่อย ๆ ลอกชั้นความเข้าใจของเราเกี่ยวกับธรรมชาติ บันทึกของนักชีววิทยาพาเราดำดิ่งสู่ประสบการณ์ที่ทั้งโดดเดี่ยวและแปลกประหลาด ขณะเดียวกันก็เผยให้เห็นความจริงบางอย่างที่ไม่อาจเรียบเรียงเป็นเหตุผลได้
ผลงานนี้เป็นของ Jeff VanderMeer ผู้เป็นนักเขียนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “เจ้าแห่งความปลาด” (master of the weird) ร่วมสมัย เขาและภรรยา Ann VanderMeer ได้ร่วมกันดูแลและจัดทำหนังสือรวมเรื่องสั้นระดับตำนาน อย่าง The Weird, The New Weird และ The Time Traveler’s Almanac ซึ่งทำเกิดการเติบโตของกระแส weird fiction ร่วมสมัย แม้ว่า VanderMeer จะมีผลงานมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แต่ Annihilation ซึ่งเป็นนิยายเล่มแรกของไตรภาค Southern Reach Trilogy คือผลงานที่ผลักดักให้ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง
วรรณกรรมแนว weird fiction อาจไม่ใช่หนังสือที่ทุกคนจะอ่านแล้วหลงรักทันที แต่มันคือประสบการณ์เฉพาะตัว ที่คุณต้อง “เข้าไปถึงในตัวบท” ถึงจะเข้าใจถึงความการนำเสนอเรื่องสุดประหลาดที่เกิดขึ้น บางเรื่องอาจทำให้คุณรู้สึกคลื่นไส้ บางเรื่องอาจทำให้คุณตื่นตาตื่นใจ และบางเรื่องอาจทำให้คุณหยุดคิดถึงมันไม่ได้ แม้จะอ่านจบไปนานแล้วก็ตาม
ทั้งห้าเล็มที่เลือกมานี้คือประตูแต่ละบานที่จะพาคุณไปสู่โลกของ “ความปลาด” (the weird) ที่ไม่เหมือนกันเลย หากคุณเป็นนักอ่านที่เปิดรับความแปลกแวกแนว ชอบการเล่าเรื่องที่ต่างขนบ และไม่กลัวที่จะหลงเข้าไปในสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด ผู้เขียนเชื่อว่าผู้อ่านจะพบประสบการณ์ที่อาจเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อวรรณกรรมไปตลอดกาล