Table of Contents
แฮร์รี่ ฮัลเลอร์ หรืออีกชื่อหนึ่งคือสเตปเปนวูล์ฟ (Steppenwolf) เขาเดินด้วยสองขา พูดได้เหมือนมนุษย์ทั่วไป มีความเฉลียวฉลาดเกินกว่ามนุษย์ธรรมดา ทว่ามีสิ่งเดียวที่เจ้าสเปนเปนวูล์ฟไม่สามารถเรียนรู้ได้ นั้นคือการที่เขาจะรักชีวิตของตัวเอง เขามีร่างกายเพียงหนึ่ง แต่จิตวิญญาณไม่ใช่เช่นนั้น เขาอาจเป็นหมาป่ากลางทุ่งหญ้าธรรมดา ทว่าจริง ๆ แล้วเขาเป็นหมาป่าที่ถูกสาปให้เป็นมนุษย์ หรือมนุษย์ที่ถูกสิงโดยวิญญาณหมาป่าดุร้าย พวกนี้อาจเป็นแค่เรื่องเพ้อฝัน หรือจริง ๆ แล้วนี่เป็นอาการป่วยพิสดารของเขา
ด้วยการที่เขา “ถูกสาป” เขาต้องอยู่กับวิญญาณทั้งสองดวง หมาป่าในร่างอยากจะออกมาโลดแล่น มอมเมากับความสกปรก ความป่าเถื่อน อีกด้านมนุษย์อยากจะใช้ชีวิตสบาย ๆ แบบพวกชนชั้นกลาง วัน ๆ นั่งนอนอ่านกวีนิพนธ์ เสพติดวัฒนธรรมชั้นสูง สองดวงวิญญาณนี้ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ จ้องอาฆาตจะทำร้ายอีกฝั่ง ไม่สามารถอยู่ร่วมเลือดเนื้อวิญญาณ จิตใจของฮัลเลอร์ต้องแตกเป็นเสี่ยง ๆ มือควานหาใบมีดโกน จะเชือดคอตัวเองให้จบสิ้น แต่ฮัลเลอร์หวาดกลัวเกินกว่าจะ “ข้ามไปอีกฝั่ง” จิตถูกตรึงอยู่ระหว่างสองขั้วความขัดแย้ง หมาป่ากับมนุษย์ ชีวิตกับความตาย
นี่คือเรื่องราวของ หมาป่าผู้โดดเดี่ยว เขียนโดย แฮร์มานน์ เฮสเซอ แปลไทยโดยปิยภาณี เฮ็นท์ช นวนิยายเล่มนี้เป็นเล่มที่สิบของเฮสเซอ เล่าเรื่องชายวัยกลางคน แฮร์รี่ ฮัลเลอร์ ผู้ถอดตัวเองออกจากโลกโดยสิ้นเชิง ขนานนามว่าตนเองเป็นสเตปเปนวูล์ฟ หมาป่าหลงฝูง ผู้มีวิญญาณสองดวงในร่างเดียวกัน
หมาป่าผู้โดดเดี่ยว ตีพิมพ์ครั้งแรกในเยอรมนีในปีค.ศ. 1927 และได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษเป็นครั้งแรกในปีค.ศ. 1929 ส่วนสำหรับฉบับไทยใหม่เล่มนี้ สำนักพิมพ์เม่นวรรณกรรมได้แปลจากภาษาเยอรมันโดยตรง โดย ปิยภาณี เฮ็นท์ช ซึ่งถ่ายถอดเรื่องราวให้ใกล้เคียงกับภาษาต้นฉบับให้มากที่สุด และสื่อสารเรื่องราวได้อย่างทันสมัยไม่ตกยุค

นวนิยายเล่มนี้เป็นอัตชีวประวัติทางจิตวิญญาณของเฮสเซอ การพรรณนาถึงอาการป่วยพิสดารของฮัลเลอร์ มีที่มาจากชีวิตของเฮสเซอเอง และสะท้อนแนวคิดที่เกิดในยุคสมัยนั้น ในศตวรรษที่สิปแปด ประเทศเยอรมันเกิดแนวคิดใหม่ ๆ จากกระแสโรแมนตินิยมที่ผสมผสานกับแนวคิดศาสนาตะวันออก การอ่านนวนิยายเล่มนี้จึงไม่สามารถตัดขาดจากรากเหง้าทางแนวคิดปรัชญาที่สำคัญนี้ได้ และที่สำคัญที่สุด นักจิตวิเคราะห์อย่าง คาร์ล ยุง ผู้วางรากฐานให้แนวคิดต่าง ๆ ที่ปรากฎในงานต่าง ๆ ของเฮสเซอไม่ว่าจะเป็น เดเมียน สิทธารถะ หรือ เกมลูกแก้ว
หมาป่าโดดเดี่ยว อาจเรียกได้ว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดของเฮสเซอ เพราะผลงานชิ้นนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวการแสวงหาตัวตน ที่เป็นหัวใจในหลายชื้นงานของเฮสเซอ แต่สำหรับเล่มนี้เปรียบเสมือนคู่มือทางจิตวิญญาณ สำหรับผู้หลงทางหลายคน ที่จะนำพาผู้อ่านไปสำรวจด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ ผ่านการวิเคราะห์เชิงจิตวิทยา และความหมายอันไพศาลของจิตใต้สำนึก
1 เรื่องเล่าในเรื่องเล่าในเรื่องเล่า
หากเราจะเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างแจ่มแจ้ง เข้าไปถึงส่วนลึกของสัญลักษณ์ภายใต้พื้นผิวของนวนิยายนี้ เราต้องพิจารณาถึงโครงสร้างของเรื่องราวเสียก่อน หมาป่าผู้โดดเดี่ยว แบ่งออกเป็นสามส่วน เป็นการเขียนเรื่องราวซ้อนไว้ในอีกเรื่องอีกที โดยส่วนแรกเป็นบทบันทึกของแฮร์รี่ ฮัลเลอร์ บทบันทึกนี้ได้ฝากไว้กับคนรู้จักโดยบังเอิญ หลานชายของเจ้าของบ้านเช่าของฮัลเลอร์ ส่วนที่สองเป็นคำนำที่เขียนโดยหลานชายคนนี้ เขาอธิบายชีวิตของฮัลเลอร์จากมุมมองคนนอก ถึงธรรมชาติ และนิสัยใจคอฮัลเลอร์ และสุดท้าย ‘เรื่องราวของสเตปเปนวูล์ฟ’ หนังสือเล่มเล็กปริศนาที่ฮัลเลอร์ค้นพบที่ดูเหมือนจะเป็นคำทำนายจากพระเจ้า
สามเนื้อเรื่องซ้อนกันแสดงให้เห็นถึงสามแง่มุม สามมุมมองผ่านกรอบการมองสามด้าน

คำนำ เขียนโดยหลานชายบรรณาธิการไร้นาม สะท้อนถึงมุมมองของคนชนชั้นกลางที่มีปฏิกิริยาโต้ตอบต่อชีวิตของฮัลเลอร์ ว่าเป็นพวกแหกคอก ไร้ระเบียบ มีพิรุธ “ทำราวกับว่าตนเองเป็นสิ่งมาจากโลกอื่น” (10) แต่ก็ดูเป็นมิตร สะอาดสะอ้าน บรรณาธิการผู้นี้ขัดใจต่อการใช้ชีวิตของฮัลเลอร์อย่างมากถึง “เก็บเรื่องราวของของเขามาฝัน” ทว่าเขาก็ชื่มชมและนับถือในตัวฮัลเลอร์ สำหรับเขา ฮัลเลอร์เป็นคนที่ “มีสติปัญญา…มีความน่าสนใจในตัวเอง นุ่มนวลอ่อนโยน” (17) การขัดแย้งที่เห็นได้ชัดในคำกล่าวทั้งสองของบรรณาธิการชี้ให้เราเห็นถึงฮัลเลอร์นั้นเป็นตัวประหลาดในสายตาของคนชนชั้นกลาง
นอกจากคำกล่าวที่ขัดแย้งในตัวเอง เขายังชี้ให้เห็นถึงความขัดแย้งที่ได้ในบุคลิกภาพของฮัลเลอร์เอง เขาเป็นคนแปลกและไม่ธรรมดาแต่เป็นนักวิชาการ เขา “สามารถมองทะลุเห็นภาพยุคสมัยของเราได้ทั้งหมด” “การโอ้อวดปัญญา” ที่เป็นเพียงแค่เปลือก และ “ความสิ้นหวังในด้านภูมิปัญญา วัฒนธรรมแห่งยุคสมัย”
“ในขณะที่อ่านบันทึกของฮัลเลอร์ ผมนึกถึงคำกล่าวนั้นอยู่เสมอ ฮัลเลอร์เองก็เป็นคนที่ตกอยู่ในความสับสนกับรอยต่อของยุค เขาสูญเสียความไร้เดียงสาและความเป็นตัวของตัวเอง โชคชะตาได้กำหนดให้เขาจมอยู่กับความกังขานานัปการ จนทำให้เขาต้องลงโทษตัวเอง โดยจมอยู่กับความเจ็บปวดนั้นราวกับมีชีวิตอยู่ในนรก” (19)
ในคำนำของบรรณาธิการไร้นาม เผยให้เห็นถึงความป่วยพิศดารของฮัลเลอร์ แต่การ “วินิจฉัย” นี่ยังเป็นจากมุมมองของคนนอก ชนชั้นกลาง ที่มองการป่วยของจิตวิญญาณเป็นเรื่องของการไม่อาจเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคสมัยใหม่
เปิดด้วยข้อความ “เหมาะสำหรับคนบ้าเท่านั้น” ส่วนที่สอง เป็นบันทึกของชีวิตประจำวันที่ “ฆ่าเวลาอย่างช้า ๆ” (44) ของฮัลเลอร์ ฮัลเลอร์ในฐานะปัญญาชน ได้ทำการวิเคราะห์ตัวเอง จากสภาพจิตใจและลักษณะนิสัย สรุปได้ว่าความทุกข์ทรมาณหยั่งรากลึกในตัวเขา สาเหตุมาจากบุคลิกที่แตกแยกออกเป็นสองส่วน หมาป่าและมนุษย์ หมาป่าเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสัญชาตญาณสัตว์ของแฮร์รี่ และ “สเตปเปนวูล์ฟตัวนี้จะต้องตาย เขาจะต้องทำลายชีวิตที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังนี้ด้วยมือของเขา” (112)
ทว่าการวิเคราะห์นี้ยังไม่สมบูรณ์เพราะเขายังไม่สามารถบรรลุถึงการตระหนักรู้ในตนเอง ในหนังสือเล่มเล็กที่ฮัลเลอร์ค้นพน เฉลยให้กับเราว่าแท้จริงแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นเกมแห่งจินตนาการ
และสุดท้าย หนังสือเล่มเล็กปริศนา ‘เรื่องราวของสตปเปนวูล์ฟ’ จากชายคนหนึ่งผู้ถือโฆษณาโรงละครมายา เล่าถึงชีวประวัติของฮัลเลอร์อย่างน่าขนลุก ราวกับเป็นบันทึกทั้งชีวิตของเขา ที่ทำนายถึงโชคชะตาและเส้นทางชีวิตของฮัลเลอร์ ในหนังสือเล่มเล็กกล่าวว่า “ความเป็นสเตปเปนวูล์ฟ…ไม่ก่อผลประโยชน์สำหรับตัวเขา” ความขัดแย้งสองขั้วจะ “ผลัดกันออกมาต่อต้านจองล้างจองผลาญกันและกัน ทำลายความสุขในชีวิตทั้งสองด้านของเขาอย่างน่าเศร้าใจ” (71)
ทว่าหนังเล่มเล็กแอบใบ้ให้กับเราว่าจริง ๆ แล้ว สเตปเปนวูล์ฟเป็นเพียงแค่จินตนาการที่ฮัลเลอร์กักขังตัวเอง เมื่อฮัลเลอร์รู้สึกว่าตัวเองเป็น มนุษย์/หมาป่า เขาย่อมมีชีวิตที่ขัดแย้งเป็นศัตรูกันในความรู้สึกสองขั้ว
‘”ไม่มีใครสามารถ อธิบายการดำรงชีวิต ของใครได้โดยการสรุปหลักเกณฑ์เพียงแค่สองสามข้อ รวมทั้งการอธิบายถึงมนุษย์ที่มีความซับซ้อน อย่างแฮร์รี่ เพราะเขาไม่ได้มีแค่มนุษย์กับหมาป่าเท่านั้น แต่ประกอบไปด้วยตัวตนนับพัน” (96-97)
ดังนั้น สเตปเปนวูล์ฟจึงเป็น “ความลวง” เพราะถึง “มนุษย์เรามีร่างกายเพียงหนึ่ง แต่วิญญาณไม่ใช่เช่นนั้น” (99) จิตของมนุษย์ไม่สามารถถูกลดทอนให้เหลือเพียงไม่กี่หลักการ การจะเข้าใจตัวตนของตนเองเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อโอบรับทุกด้านของจิตใจเท่านั้น
การใช้การเล่าเรื่องหลายแง่มุมที่ขัดแย้งและเสริมให้กัน เฮสเซอกำลังชี้ให้เห็นว่า ความจริง เป็นสิ่งยากที่จะเข้าถึง ลื่นไหลไปตามแต่ละการมอง จากทุกมุมมอง หากพิจารณาแค่ตัวมันเอง อาจเป็นความจริง แต่หากพิจารณาเทียบเคียงแล้ว กลับเป็นเท็จ ทุกด้าน ทุกมุมมองต่างมีจุดบอด ทว่ามันมีความหมายเบื้องลึกบางอย่างซ่อนอยู่ใต้พื้นผิวของนิยายเล่มนี้
2 คาร์ล ยุง กับการกลายเป็นปัจเจก
ก่อนที่เราจะลงลึกเข้าไปในตัวบทไปมากกว่านี้ มีบริบทสำคัญที่ไม่กล่าวไม่ได้เลยในบทความนี้

เฮสเซอเขียนหนังสือเล่มนี้เก้าปีหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สุขภาพเขาย่ำแย่ และหย่าร้างกับภรรยาคนที่สอง ในช่วงเวลานั้นเขาเก็บตัวอยู่คนเดียว ด้วยอาการขมขื่นกับสงครามและความโดดเดี่ยวจากการขาดการติดต่อกับโลกภายนอก เฮสเซอเริ่มสิ้นหวังมากขึ้นเรื่อย ๆ และคิดอยากฆ่าตัวตาย
เขาได้รับการรักษาจากนักจิตวิเคราะห์ โยเสฟ แลง ลูกศิษย์ของนักจิตวิเคราะห์ชื่อดัง คาร์ล ยุง ที่วางรากฐานแนวคิดใหม่ ๆ ให้จิตเวชศาสคร์นั้นคือ การกลายเป็นปัจเจก (Individuation) และ จิตไร้สำนึกร่วม (Collective Unconscious) ซึ่งเป็นมโนทัศน์สำคัญที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้

คาร์ล ยุงมองว่ามนุษย์ควรพัฒนาตนเองโดยการหลอมรวมทุกด้านของจิตให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อมีชีวิตอย่างสมบูรณ์ หากมีการพัฒนาบุคลิกภาพด้านเดียวจากการตีกรอบของตัวเองมากเกินไป อาจทำให้บุคลิกภาพขาดความสมดุล คนที่ใช้ชีวิตด้วยทัศนคติสุดโต่งด้านเดียวมาก ถึงเวลาหนึ่ง จะรู้สึกชีวิตตัวเองกลวงเปล่า อึดอัดคับข้อง มีอะไรขาดหายไม่สมบูรณ์
ทว่าบุคคลหนึ่งจะตระหนักรู้ถึงการละเลยด้านไหนของตนเองก็ต่อเมื่อได้ทำกระบวนการจัดตำแหน่งศูนย์กลางใหม่ โดยหลอมรวมทุกด้านของจิตไร้สำนึก ผสานขั้วตรงข้ามไว้ได้อย่างกลมกลืนและบริบูรณ์ เกิดกระบวน ‘การกลายเป็นปัจเจก’ (Individuation) การเข้าถึงจิตไร้สำนึกของตนเองไม่สามารถเข้าถึงได้โดยตรง ต้องใช้สัญลักษณ์แบบกึ่งหลับกึ่งตื่น ในรูปแบบของความฝัน
ช่วงหลังของเรื่องราว กับฉากความฝันที่ตรรกะหยุดทำงาน (dream sequence) โลกของจิตวิญญาณและเนื้อหนังมังสาจะถูกกลืนเข้าด้วยกัน ฮัลเลอร์จะต้องเผชิญหน้ากับคู่แฝดขั้วตรงข้ามจิตใจของเขา “โรงละครมายา” ที่ราคาเข้าชม คือจิตใจ การเดินทางค้นพบตัวตนของฮัลเลอร์นั้นเป็นการเดินทางเข้าไปในจิตใจของตัวเอง
3 การเดินทางสู่จิตใต้สำนึก
เรื่องราวของการต่อสู้ภายในของวิญญาณสองดวง อาการป่วยพิศดาร และดำดิ่งสู่ยมโลกใต้จิตใจของฮัลเลอร์เป็นการเดินทางผ่านความฝัน ไปสู่จิตใต้สำนึก อาการป่วยแรกเริ่มของฮัลเลอร์เป็นเพราะว่าเขานั้นเป็น ‘มนุษย์/หมาป่า’ เขาแบ่งจิตใจของตัวเองเป็นสองฝั่งเพราะเขาไม่สามารถยอมรับความย้อนแย้งของตัวเองได้
เขานิยมสันติภาพ แต่เขาหวาดกลัวเกินกว่าจะออกไปเผชิญหน้ากับควารุนแรง เขารังเกียจการกดขี่ แต่ก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายด้วยหุ้นในบริษัท เขาต่อต้านตัวตนอีกครึ่งหนึ่งของตนเอง เพราะเขาไม่อาจปลดปล่อยจิตวิญญาณของตัวเองให้ออกห่างจากธรรมเนียมที่ดี (363)
สำหรับคาร์ล ยุง หากเราไม่สามารถยอมรับทุกด้านของตนเองได้ ก็จะเกิดความผิดปกติข้างในจิตใจ (neurosis) ไม่สามารถค้นพบเป้าหมายของชีวิต แรงขับเคลื่อนในชีวิตอยู่ในภาวะหยุดนิ่งและว่างเปล่า
ฮัลเลอร์ไม่เหลือทางเลือกใดนอกจากประกาศว่าจะฆ่าตัวตาย เพราะเขานั้นไม่สามารถยอมรับความขัดแย้งสองขั้วของตัวเองได้ เมื่อจิตสำนึกไม่สามารถหาทางออกได้ จิตใต้สำนึกก็จะตอบสนอง นำพาฮัลเลอร์ไปสู่ภาวะขัดแย้งสุดขีด ณ จุดนี้ตามหลักการของยุง จิตใต้สำนึกจะปรากฎตัวขึ้นในรูปแบบเพศตรงข้ามกับผู้ป่วย (animus)
ฮัลเลอร์เดินเตร่ไปรอบเมืองอย่างไร้จุดหมายทั้งคืน เพื่อฉะลอความตายที่จะถึงเอาไว้ เขาบังเอิญพบเจอ หญิงสาว ผู้จะนำพาเขาให้หลุดจากขุมนรก คือ แฮร์มีน เธอเป็นดังกระจกสะท้อน เป็นฝาแฝดขั้วตรงข้าม หรือส่วนจิตไร้สำนึกของฮัลเลอร์ที่จะนำพาเขาไปสู่คำตอบ
“ก็เพราะฉันก็คือกระจกสำหรับนาย ความเป็นฉันคือคำตอบสำหรับนาย” “เป็นคนจุดไฟให้…ทั้งความคิดและจินตนาการเพ้อฝัน” (175, 200)
แฮร์มีน (หรือเฮอร์ไมนาในภาษาเยอรมัน เพศหญิงของชื่อแฮร์มานน์ ล้อไปกับชื่อของผู้เขียน) เธอเป็นอีกด้านหนึ่งที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตของฮัลเลอร์ เผยให้เห็นอีกด้านที่ฮัลเลอร์ปฏิเสธ เธอสอนวิธีการเต้นรำ ให้รู้จักเพลงแจ๊ซ และยากล่อมประสาท การใช้ชีวิตแบบคนชนชั้นกลางที่ฮัลเลอร์นั้นรังเกียจ เพราะสำหรับเธอ “บาปสามารถเปิดเส้นทางให้ไปยังดินแดนอันศักสิทธิ์ ทั้งบาปและสิ่งชั่วร้าย” เมื่อเราโอบรับด้านที่เราปฏิเสธ มนุษย์/หมาป่าจึงจะกลับมามีสมดุลเท่านั้น (244)
การเดินทางเพื่อหลอมรวมทุกเศษเสี้ยวที่แตกสลายของฮัลเลอร์ เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่เขาจะค้นพบความสุข เพราะ “มนุษย์ต้องมองตัวเองให้เป็นหนึ่งเดียว” ในโรงละครมายา เขาได้สับผัสกับส่วนที่อยู่ข้างในเบื้องลึกของเขา ผ่านประตูนับพันที่สะท้อนความแตกสลายของจิตใจ ด้านมืดที่เขาได้ผลักไสออกไป โรงละครภาพมายามอบพื้นที่เขาได้สับผัสถึงความดิบเถื่อนผ่านจินตนาการไร้ขอบเขต ได้ริมรสชาติการฆ่าฟัน เรียนรู้ที่จะเล่นเกมส์แห่งจินตนาการผ่านตัวหมากรุกซึ่งสะท้อนมิติในจิตใจของเขาเอง
“ปลดปล่อยตนเองจากบุคลิกเดิม ย่อมไม่ใช่แค่การผจญภัยที่สะดวกสบายและสนุกสนานเพลิดเพลิน มันมีสิ่งตรงข้าม มีความเจ็บปวดข่มขื่นสุดจะทน” (206)
และในที่สุด ฮัลเลอร์ได้ทำตามคำสั่งสุดท้ายของแฮร์มีน “นายจะต้องฆ่าฉัน” ในโรงละครมายา ฮัลเลอร์ “ต้องผ่านฉากการฆ่าตัวตายอย่างที่กำหนดไว้” เพื่อที่จะ “เรียนรู้ที่จะรู้จักอารมณ์ขันขั้นสุดยอด” (179, 280, 281)
การฆ่าตัวตายในที่นี้คือการตายของอัตตา (ego death) เป็นการยอมจำนนต่อตนเองเพื่อที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่การเกิดใหม่ ฮัลเลอร์จะต้องฆ่าแฝดขั้วตรงข้ามของตัวเอง “ความเป็นตัวตนของ[เขาถึงจะ]ได้ละลายไปราวกับผงเกลือหล่นน้ำ” รวมประสานกันอย่างสมบูรณ์ (268)
ฮัลเลอร์ตระหนักว่าหากเก็บรวบรวมภาพที่กระจัดกระจาย เหล่านี้เข้าด้วยกัน เอาชีวิตของสเปนเปนวูล์ฟของแฮร์รี่ ฮัลเลอร์ มารวมกันเป็นภาพหนึ่งเสีย แล้วก้าวเข้าไปในภาพนั้น ตัวเขาก็จะมีชีวิตอมตะ นี่คือจุดหมายอันสูงสุดที่มนุษย์ทุกคนต่างต้องการและพยายามจะวิ่งไปหา (226)
“โอ! ผมเข้าใจแล้วในทุกสิ่ง…รู้จักตัวละครแห่งชีวิตนับแสนตัวที่อยู่ในกระเป๋า เต็มใจที่จะเล่มเกม ตั้งใจลิ้มอารมณ์สะเทือนใจและความเจ็บปวดอีกครั้ง ยอมสั่นสะท้านไปกับความไร้สาระ พร้อมที่จะได้เดินทางไปยังนรกภายในของผม” (343)
ท้ายที่สุดแล้ว งานของเฮสเซอนั้นไปไกลมากกว่าแค่การค้นพบตัวเอง แต่เป็นเรื่องราวของการฆ่าตัวเองเพื่อที่จะได้เกิดใหม่ ผ่านขุมนรกจิตใจแสนสาหัส แม้หนังสือเล่มนี้จะถูกเขียนมาหลายปีแล้ว เรื่องราวของสเตปเปนวูล์ฟยังให้อะไรกับเรา ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหน ด้วยเนื้อหาที่แฝงไปด้วยสัญญะมากมายจากทฤษฎีจิตวิเคราะห์ หมาป่าโดดเดี่ยวจึงเป็นผลงานชิ้นเอก เป็นแผนที่ภูมินิทัศน์ของจิตใต้สำนึกที่พาเราไปสำรวจทุกมุมภายในจิตใจมนุษย์