แม้ลอนดอนจะเป็นมหานครที่ยิ่งใหญ่ แต่หากมีใครให้เลือกเมืองเล็กๆ สักแห่งสำหรับการเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับ ผมขอแนะนำ เที่ยว Knaresborough (แนร์สโบรอ) เมืองในนอร์ธยอร์กเชียร์ที่เปรียบดั่งอัญมณีเม็ดงามซึ่งซุกซ่อนเรื่องราวอันน่าทึ่งไว้ในทุกอณูของสถาปัตยกรรมและทิวทัศน์ ที่นี่คือภาพประวัติศาสตร์ที่มีชีวิตชีวา ด้วยปราสาทโบราณที่ตั้งตระหง่านเหนือหน้าผา แม่น้ำที่ไหลเอื่อยอย่างสง่างาม และสะพานรถไฟที่กลายเป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่น
การมาเยือนแนร์สโบรอในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงการชมเมืองที่สวยงามเพียงอย่างเดียว แต่มันคือการเดินทางย้อนเวลากลับไปสู่ประวัติศาสตร์ของยุคกลาง เพื่อฟังเสียงกระซิบจากอดีตที่ดังก้องจนถึงปัจจุบัน

การเดินทางสู่กาลเวลา
ผมเริ่มต้นการเดินทางจากลิเวอร์พูล มุ่งหน้าสู่เมืองยอร์กด้วยรถไฟ การเดินทางข้ามฝั่งตะวันออกผ่านแมนเชสเตอร์และลีดส์นั้นใช้เวลาไม่นานนัก เมื่อถึงยอร์ก ผมมุ่งหน้าไปเช็คอินที่โรงแรม ก่อนจะกลับมายังสถานีรถไฟอีกครั้งเพื่อต่อรถไฟขบวนสั้นๆ ไปยังแนร์สโบรอ ซึ่งใช้เวลาเพียง 40 นาที ทิวทัศน์ชนบทที่เพลินตาสองข้างทางทำให้การเดินทางผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สัมผัสแรกเมื่อถึงสถานีรถไฟแนร์สโบรอ คือความเงียบสงบ ผมใช้ทางลอดเพื่อข้ามทางรถไฟไปอีกฝั่งหนึ่ง ก่อนเดินไปตามถนน The Parsonage ที่เต็มไปด้วยร่มไม้ ผ่านโบสถ์ St Johh The Baptist ไม่นานก็เดินถึงถนนใหญ่ A59 เพื่อความชัวร์ผมเปิดกูเกิลแมพไปยังจุดเริ่มต้นของการเดินทาง
ปฐมบทแห่งประวัติศาสตร์: จากป้อมปราการสู่เมืองตลาด
ประวัติศาสตร์ของ Knaresborough เริ่มต้นขึ้นราวศตวรรษที่ 11 หลังชาวนอร์มัน (ชาวไวกิ้งที่ตั้งรกรากในนอร์ม็องดี — ฝรั่งเศส) พิชิตอังกฤษ ชื่อของเมืองเชื่อว่ามาจากคำว่า “Cenar’s Burgh” ซึ่งหมายถึง “ป้อมปราการบนโขดหิน” ไม่นานนัก ปราสาทแนร์สโบรอ (Knaresborough Castle) ก็ได้ถูกสร้างขึ้นบนหน้าผาสูงชันเหนือคุ้งแม่น้ำนิดด์ (River Nidd)
ทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์นี้ทำให้ปราสาทกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์อังกฤษในภาคเหนือ เป็นทั้งที่ประทับของกษัตริย์จอห์น สถานที่คุมขังนักโทษ และเป็นสถานที่ 4 อัศวินบุกเข้าไปสังหาร Thomas Becket อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี ในปี ค.ศ. 1170 อย่างโหดเหี้ยม การมรณกรรมของเบคเก็ตสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วยุโรป เขาได้รับการยกย่องให้เป็นมรณสักขี (Martyr) ผู้ยอมสละชีพเพื่อปกป้องศาสนจักร
น่าเศร้าที่ปราสาทอันเกรียงไกรแห่งนี้ต้องมาถึงจุดจบในช่วงสงครามกลางเมืองอังกฤษ เมื่อกองทัพของโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ ได้เข้าทำลายในปี ค.ศ. 1648 เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกใช้เป็นฐานที่มั่นของฝ่ายนิยมกษัตริย์อีกต่อไป
ทุกวันนี้ สิ่งที่หลงเหลืออยู่คือซากปรักหักพังอันทรงพลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง King’s Tower ที่ยังคงตั้งตระหง่านท้าทายกาลเวลา การเดินสำรวจซากปราสาทและพิพิธภัณฑ์ภายใน ทำให้ต้องจินตนาการถึงความยิ่งใหญ่ในอดีต






“แจ็คตาบอดแห่งแนร์สโบรอ” (Blind Jack of Knaresborough)
หากพูดถึงถึงบุคคลในแนร์สโบรอ เรื่องราวของ “Blind Jack” หรือ John Metcalf ที่กลายมาเป็นแรงบันดาลใจที่น่าทึ่งที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ จอห์น เมตคาล์ฟ เกิดที่เมืองแนร์สโบรอ (Knaresborough) ในปี ค.ศ. 1717 ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปตลอดกาลเมื่ออายุเพียง 6 ขวบ หลังจากป่วยด้วยไข้ทรพิษ (smallpox) อาการป่วยพรากการมองเห็นของเขาไปอย่างถาวร แต่เขาไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา อีกทั้งครอบครัวสนับสนุนให้เขาใช้ชีวิตเหมือนเด็กคนอื่น เขาจึงเรียนรู้โลก และสำรวจรอบตัวด้วยวิธีที่แตกต่างออกไป เขาใช้ไม้เท้าคู่ใจคลำทาง ตรวจสอบพื้นผิว ฟังเสียงสะท้อนเพื่อกะระยะ

นอกจากนั้นเขายัง เป็นทั้งนักไวโอลิน มัคคุเทศก์ พ่อค้าม้า และสมัครเป็นทหารฝ่ายอังกฤษต่อสู้กับกลุ่มกบฏจาโคไบต์ อาชีพหลากหลายทำให้เขามีความเข้าใจภูมิประเทศ สภาพดิน และเส้นทางต่างๆ อย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าคนตาดี ทำให้เขาเป็นวิศวกรตาบอดผู้สร้างถนนคนสำคัญของอังกฤษในศตวรรษที่ 18
เนื่องจากอังกฤษกำลังเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม การคมนาคมขนส่งกลายเป็นสิ่งสำคัญ ความต้องการถนนคุณภาพดี (Turnpike roads) เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในปี ค.ศ. 1765 มีการเปิดประมูลสร้างถนนระยะทาง 3 ไมล์ (ประมาณ 5 กิโลเมตร) ระหว่างเมืองมินสกิป (Minskip) และแนร์สโบรอ เมตคาล์ฟได้เข้าประมูลงานนี้ โดยอาศัยความรู้ความเข้าใจในพื้นที่อย่างละเอียดที่เขาสั่งสมมาทั้งชีวิต จนชนะในการประมูลนี้
ตลอดชีวิตการทำงานกว่า 30 ปี จอห์น “แจ็คตาบอด” เมตคาล์ฟ ได้สร้างถนนทั่วภาคเหนือของอังกฤษเป็นระยะทางรวมกว่า 180 ไมล์ (ประมาณ 290 กิโลเมตร) ถนนของเขาขึ้นชื่อเรื่องความทนทานและใช้งานได้ดีเยี่ยม เรื่องราวของเขาจึงไม่ใช่แค่เรื่องของ “คนตาบอดที่สร้างถนนได้” แต่เป็นเรื่องของ “วิศวกรผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง…ที่บังเอิญตาบอด” ผู้ซึ่งใช้อัจฉริยภาพและประสาทสัมผัสอื่นมาทดแทน จนสร้างสรรค์ผลงานที่เปลี่ยนแปลงหน้าตาของการคมนาคมในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมไปตลอดกาล
ทิวทัศน์อันเป็นเอกลักษณ์ริมฝั่งแม่น้ำนิดด์
ตอนนั้นเลยเวลาเที่ยงมาหลายนาที ท้องของเราเริ่มโหยหาอาหารกลางวัน ตอนแรกเราเข้าไปในคาเฟ่ ของ Hanshaws Arts & Crafts Center ที่ดูเหมือนเป็นพื้นที่ปฏิบัติงานทางศิลปะ แต่ที่นั่นไม่มีอะไรกินมากนัก เราจึงเดินไปที่ริมแม่น้ำนิดด์ตามถนนใหญ่ เราพบกับ The Worlds End ผับสไตล์อังกฤษและคิดว่าจะฝากท้องเอาไว้ที่นั่นแม้ที่นั่งในร้านจะเต็ม แต่ด้านนอกและดาดฟ้ายังมีที่ว่าง เพราะก่อนหน้านั้นฝนเพิ่งหยุดตก คะเนดูแล้วมันคงไม่ตกลงมาอีก เราจึงตัดสินใจนั่งด้านนอก ซึ่งก็จริง ไม่นานนักแดดก็เริ่มออกมาจากเมฆ
เราสั่งอาหารผับ ไส้กรอกอังกฤษกับมันบด ฟิชแอนด์ชิบ และเบียร์กินเนสต์ เท่านี้ก็พออุ่นใจ ในขณะที่กินอย่างอิ่มหนำ โดยมีวิวแม่น้ำนิดด์ที่มีฉากอยู่เบื้องหน้า ส่วนตรงข้ามแม่น้ำฝั่งโน้นเป็นทางเข้า ถ้ำมาตาชิพตัน (Mother Shipton’s Cave) และ บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ (Petrifying Well) ที่มีชื่อเสียงในเรื่องคุณสมบัติของน้ำที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ จนสามารถทำให้วัตถุต่างๆ ที่ถูกแขวนทิ้งไว้กลายเป็นหินได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน การได้เห็นตุ๊กตาหมีและของใช้ต่างๆ กลายเป็นหินแข็งๆ เป็นอะไรที่น่ามหัศจรรย์มากๆ แต่คำนวนเวลาแล้วเราคงไม่ไปที่นี่ เพราะอาจจะกลับไปที่ยอร์กเย็นเกินไป
หลังอิ่มอาหาร เดินออกมาถ่ายภาพแม่น้ำนิดด์ สิ่งที่ไม่ควรพลาดสำหรับการมาเยือนแนร์สโบรอ คือเดินขึ้นไปยังจุดชมวิว ซึ่งเป็นที่ตั้งของตัวปราสาท แล้วมองลงมาที่เมือง ภาพที่งดงามจนแทบหยุดหายใจคือทัศนียภาพของ แม่น้ำนิดด์ ที่มีฉากหลังเป็น สะพานรถไฟแนร์สโบรอ (Knaresborough Viaduct) อันโอ่อ่า เราใช้ทางเดินริมน้ำ ผู้คนออกมาเดินเล่น พายเรือ เราเดินรอดสะพานรถไฟจากนั้นจะมีทางขึ้นไปยังจุดชมวิวสองทางคือทางถนนและบันได ทั้งสองทางใช้เวลาเดินหนึ่งเหนื่อย แต่ขอบอกว่าคุ้มค่า

สะพานหินทรายแห่งนี้คือสัญลักษณ์ของวิศวกรรมยุควิกตอเรีย ออกแบบโดยวิศวกรชื่อ โทมัส เกรนเจอร์ (Thomas Grainger) โดยมี บริษัท Leeds & Thirsk Railway เป็นผู้รับผิดชอบในการก่อสร้าง เพื่อเชื่อมเมืองลีดส์ เธิร์สก์ และแนร์สโบรอ สะพานที่เห็นในปัจจุบันคือเวอร์ชันที่สร้างขึ้นใหม่ เปิดใช้งานในปี ค.ศ. 1851 หลังจากที่สะพานเดิมได้พังทลายลงระหว่างการก่อสร้าง
ตัวสะพานได้รับการออกแบบให้มีลักษณะคล้ายป้อมปราการ (Castellated style) เพื่อให้กลมกลืนกับทิวทัศน์ของปราสาทแนร์สโบรอที่ตั้งอยู่ใกล้เคียง จนได้กลายเป็นหนึ่งในทิวทัศน์ทางรถไฟที่สวยงาม และได้กลายเป็นภาพจำของ Knaresborough ที่ปรากฏอยู่บนโปสการ์ดและภาพถ่ายนับไม่ถ้วน ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่พลาดที่จะถ่ายภาพมุมนี้ลงไปเห็นแม่น้ำนิดด์ สะพานรถไฟ และเมืองแนร์สโบรอ
ชีวิตชีวาแห่งเมืองเก่าและมรดกทางสถาปัตยกรรม
หลังจากเดินถ่ายภาพ Knaresborough Viaduct และปราสาทแนร์สโบรอ เราไม่ได้เข้าไปในพิพิธภัณฑ์เนื่องจากเวลาเปิดทำการเหลือเพียงชั่วโมงเดียว เราจึงได้แต่เพียงเดินดูภายนอก เท่านี้ก็ยังตราตรึงด้วยภาพตระการตาที่ยิ่งใหญ่ เราเดินออกจากโซนปราสาทก็เข้าสู่ใจกลางเมืองแนร์สโบรอ จากนั้นเดินสำรวจไปตามถนน จะพบว่าที่นี่นักท่องเที่ยวยังไม่มาก เมืองสงบท่ามกลางแสงแดดในเดือนแรกของฤดูร้อน
ไม่กี่ก้าวเราก็ถึงจัตุรัสเมืองซึ่งเป็น Market Place ยังคงมีการจัดตลาดนัดทุกวันพุธเหมือนเช่นหลายร้อยปีก่อน วันที่เราไปเป็นวันตรงตลาดนัด แต่เนื่องจากเย็นมากแล้ว ร้านค้าค่อยๆ ทยอยเก็บของกันหมด เราจึงได้แต่สำรวจอาคารบ้านเรือนรอบๆ จัตุรัส ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบจอร์เจียนที่งดงาม
สถาปัตยกรรมแบบจอร์เจียน (Georgian Architecture) คือรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ได้รับความนิยมในอังกฤษช่วงศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 19 (ประมาณปี ค.ศ. 1714 – 1830) ซึ่งเป็นช่วงเวลารัชสมัยของกษัตริย์จอร์จที่ 1 ถึง จอร์จที่ 4
ยุคนี้อังกฤษมีความมั่งคั่งและมีเสถียรภาพทางการเมือง สังคมชั้นสูงกับชนชั้นกลางร่ำรวยขึ้นมา พวกเขาต้องการสร้างบ้านเรือนที่สะท้อนถึงรสนิยมอันดีและความรู้แจ้ง (Enlightenment) ทำให้สถาปัตยกรรมแบบจอร์เจียนถือกำเนิดขึ้น โดยได้รับแรงบันดาลใจอย่างมากจากสถาปัตยกรรมคลาสสิกของกรีกและโรมัน เน้นความเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความสง่างาม
สำหรับในแนร์สโบรอ ซึ่งเป็นเมืองตลาดที่สำคัญและเป็นเมืองสปาที่กำลังได้รับความนิยมในยุคนั้น ความมั่งคั่งจากการค้าจนถึงการท่องเที่ยวได้นำไปสู่การสร้างและปรับปรุงอาคารหลายแห่งให้เป็นไปตามสมัยนิยมแบบจอร์เจียน โดยเฉพาะอาคารรอบๆ จัตุรัสตลาด ซึ่งเป็นหัวใจของเมือง




“หน้าต่างตาบอด” (Blind Windows): ผลพวงจากภาษีหน้าต่าง
หนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจที่สามารถะพบเห็นได้บ่อยในอาคารจอร์เจียนที่แนร์สโบรอ คือ “หน้าต่างตาบอด” หรือหน้าต่างที่ถูกก่ออิฐปิดทึบเอาไว้
นี่ไม่ใช่การออกแบบเพื่อความสวยงามตั้งแต่แรก แต่เป็นผลมาจาก ภาษีหน้าต่าง (Window Tax) ที่บังคับใช้ในอังกฤษช่วงปี ค.ศ. 1696 ถึง 1851 ภาษีนี้เก็บตามจำนวนหน้าต่างของบ้าน ยิ่งมีหน้าต่างมากก็ยิ่งเสียภาษีแพง หลักการคือ “คนรวยย่อมมีบ้านหลังใหญ่ และบ้านหลังใหญ่ย่อมมีหน้าต่างจำนวนมาก”
ดังนั้น การเก็บภาษีตามจำนวนหน้าต่างจึงเปรียบเสมือน ภาษีทรัพย์สิน (Property Tax) แบบหนึ่ง ที่ตั้งใจจะพุ่งเป้าไปที่ชนชั้นสูงและชนชั้นกลางผู้มีอันจะกิน โดยคาดหวังว่าจะกระทบกระเทือนคนยากจนน้อยที่สุด เพราะคนจนมักจะอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ ที่มีหน้าต่างไม่กี่บาน หรืออาจจะไม่มีเลย
เจ้าของบ้านหลายคนจึงเลือกที่จะก่ออิฐปิดหน้าต่างบางบานเพื่อเลี่ยงภาษี อย่างไรก็ตาม เพื่อคงความสมมาตรของอาคารตามหลักสถาปัตยกรรมจอร์เจียน พวกเขาจึงยังคงโครงสร้างกรอบหน้าต่างไว้ภายนอก กลายเป็นลักษณะเฉพาะที่น่าสนใจมาจนถึงทุกวันนี้
“ภาษีหน้าต่าง” ถือกำเนิดขึ้นและถูกนำมาใช้เป็นเวลานานถึง 155 ปี ก่อนจะถูกยกเลิกไปในปี ค.ศ. 1851 เนื่องจากผลกระทบด้านลบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนที่ต้องอยู่ในบ้านที่มืดและอับทึบจากการก่ออิฐปิดหน้าต่างเพื่อเลี่ยงภาษี

ในปัจจุบัน เมืองแนร์สโบรอได้มีโครงการศิลปะ “Town Windows” ที่นำภาพวาดเหตุการณ์และบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของเมืองไปวาดลงบนแผ่นไม้แล้วนำไปติดตั้งในช่องหน้าต่างตาบอดเหล่านี้ ทำให้มันกลายเป็นแกลเลอรีศิลปะกลางแจ้งที่มีชีวิตชีวาไปอีกแบบ
ร่ำลาด้วยรสชาติแห่งยอร์ก
มาถึงบทสุดท้ายอีกครั้ง การอำลาย่อมเกิดขึ้นเสมอ แม้เราจะใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงในการสำรวจเมืองอันสวยงามที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อย่างนี้ แต่เป็นที่แน่ชัด แนร์สโบรอคือเมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ ผู้คน สถาปัตยกรรม และความมีชีวิตชีวาของธรรมชาติทที่ทำให้ผู้มาเยือนอย่างเราอดคิดถึงอีกไม่ได้
ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่จะได้กลับไปเยือน ไม่รู้ว่าอีกนานไหมเราจะไปดื่มด่ำดำดิ่งที่นี่อีกครั้ง เราเดินจากใจกลางตลาด มุ่งลงเนินเขากลับมาที่สถานีรถไฟ Knaresborough ก่อนขึ้นรถไฟกลับยอร์กเราแวะ The Mitre Inn ผับซึ่งมีบริการห้องพักอยู่ติดกับสถานี
ที่นี่มีแท็บเบียร์จาก Brew York Craf Beer ที่ก่อตั้งโดยสองสหาย เวนย์ สมิธ และ ลี แกรปแฮม แม้โรงเบียร์ของสองหนุ่มนี้จะพึ่งตั้งได้ไม่นานเมื่อปี ค.ศ. 2016 แต่ดูเหมือนพวกเขาตั้งใจให้มันเป็นรสชาติแห่งยอร์ก ซึ่งแน่นอนว่ารสชาติเบียร์ของเขาไม่ธรรมดาเลย บางทีอาจจะดีกว่าดรงเบียร์หลายแห่งในลอนดอนเสียอีก
เราดื่มเบียร์กันคนละแก้ว ก่อนที่จะขึ้นรถไฟกลับยอร์ก และทิ้งเบื้องหลังเมืองงดงามแห่งนี้ด้วยความทรงจำ ภาพถ่าย และข้อเขียนนี้ เพื่อรอวันที่จะได้กลับมาเยือนอีกครั้ง



ข้อมูลการเดินทางไป เที่ยว Knaresborough

- การเดินทางด้วยรถไฟ คุณสามารถเดินทางจากไป Knaresborough จากลอนดอน ลิเวอร์พูล แมนเชสเตอร์ โดยใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ปลายทางที่สถานีรถไฟยอร์ก ตั๋วรถไฟ London-Yorkซึ่งผมใช้บริการของ Trip.comในการจองรถไฟตลอดการเดินทาง นอกจากสะดวกรวดเร็วแล้ว ยังสามารถติดตามเที่ยวรถไฟที่เราจอง และยังช่วยติดตามการเดินทางระหว่างสถานี ทำให้เราไม่พลาดในการมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง จากนั้นต่อรถไฟจากยอร์กไปแนร์สโบรอ ใช้เวลา 40 นาที สามารถซื้อตั๋วได้ที่สถานียอร์กโดยตรง
- การเดินทางในแนร์สโบรอ โดยหลักแล้วคุณสามารถเดินท่องเที่ยวได้ทั่วเมือง หากต้องการไปยังจุดหมายที่ไกลขึ้น รถสาธาระเช่นรถบัส และมีแท็กซี่บริการ
- ภัตตาคาร ร้านอาหาร หรือผับท้องถิ่น กระจายตัวอยู่บริเวณกลางจัตุรัส
- ห้องน้ำสาธารณะมีบริการบริเวณทางเข้าปราสาทแนร์สโบรอด้านตัวเมือง