เธอ: เรื่องราวอีกฟากฝั่งของเธอที่มีผมสีท้องฟ้ายามกลางคืน
เกริ่นนำ
เรื่องสั้น “เธอ” โดย Kireina Kura คือเรื่องราวก่อนหน้าของ “ความโหยหาของอิคารัส” ที่จะพาผู้อ่านดำดิ่งสู่บันทึกบาดแผลทางใจของนักเขียนคนหนึ่ง ผู้ต้องต่อสู้กับภาวะซึมเศร้าและ PTSD อันมีต้นตอมาจากการถูกกลั่นแกล้ง (บูลลี่) ในอดีต นี่คืองานเขียนที่ถ่ายทอดความรู้สึกของการไม่ถูกเข้าใจ ความผิดหวัง และการดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป ในวันที่ความทรงจำอันเลวร้ายยังคงตามหลอกหลอน
***
คำนำ
สวัสดีค่ะ เจ้าของเรื่อง “ความโหยหาของอิคารัส” นะคะ
สำหรับเรื่อง “เธอ” เป็นเรื่องราวก่อนหน้าของ ความโหยหาของอิคารัสค่ะ เรื่องนี้มีความเป็น Mimesis ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า และ PTSD ค่ะ ขอให้ระมัดระวังในการอ่าน เพราะ Mimesis นี้ ปราศจาก Catharsis เพื่อผู้อ่านค่ะ
คำเตือน: มีเนื้อหาเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย หน้าร้อนยังคงอยู่หากคุณยังไม่พร้อมเจอกับไอระอุและความชื้น
โปรดนั่งพักเสียหน่อย
.
.
.
“ของเก่าเก็บ ความรู้สึกตกค้างนานแรมปี
กลิ่นที่จางหาย วนกลับมาอีกครั้งราวกับฤดูกาล
ราวกับไม่เคยไปไหนไกล”
.
ฉันถูกเรียกว่า ‘นักเขียน’ เป็นคำที่ดี
เป็นคำดูถูก เป็นคำยกย่อง
ฉันเพียงแค่เขียนความรู้สึกของตัวเองออกมา
เฉือนเลือดเฉือนเนื้อ เอาเรื่องของตัวเอง เอาตัวเองมาขาย
รางวัลมากมายไม่เคยถูกจัดแสดงในห้องของฉัน
มันอยู่ในกล่อง ฉันปิดผนึกมันไว้
เครื่องหมายแห่งการเหยียบย่ำความรู้สึกของฉัน
ฉันไม่เคยภูมิใจกับมัน
.
.
.
“ฉันเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ก้าวออกไปเรื่อย ๆ
เพื่อที่จะมารู้สึกตัวว่า ฉันได้กลับมาที่อีกครั้ง
ไม่ได้ต่างจากเดิมเสียเท่าไหร่”
.
นักเขียนที่มีอดีตอันเศร้าหมอง เป็นเรื่องราวที่ขายได้ทุกครั้งไป
โลกใบนี้ค่อย ๆ ฉายแสงมายังความมืด
ตอนแรกฉันตื่นตากับมัน
โลกนี้เริ่มให้ความสำคัญกับการไม่มองข้าม
ผลกลับกลายเป็นการให้ค่า ให้ค่ามากไป
ทำจนมันกลายเป็นเรื่องปกติ
ทั้งยังเรียกร้องสิทธิที่ควรจะได้
เรียกร้องอย่างมากเกินไป
จนการเรียกร้องนั้นกลายเป็นเรื่องไม่ปกติ
สุดท้ายผู้เสียหายยังคงเสียหาย
ไม่ได้รับการดูแลใด
ฉันผิดหวังกับโลกใบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
‘เธอก็โดนมาหรือ’
‘ใช่..’
‘ฉันก็โดนมาเหมือนกัน’
‘…’
.
.
.
“ความเศร้าฟุ้งกระจายอยู่เป็นควันจาง”
.
ฉันเศร้าหมอง อดีตของฉัน การเรียกร้องของฉันถูกมองข้าม
ผลงานถูกตีความเติมแต่งบิดเบือนไปในทางอื่น
ในทางที่ทันไม่ควรจะเป็น
ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ ทำไม
.
.
.
“จมจ่อมลงไป แผลที่ไม่มีทางหาย
ใครเล่าจะสน คนที่ไม่เติบโต”
.
คุณ ไม่สิ
พวกคุณ ไม่ใช่
‘พวกมึงทั้งหมด’
มีคนบอกว่า ฉันไม่จำเป็นต้องหาคนผิดหรอก
แค่ปัญหามันเกิดขึ้นแล้วเราจะแก้มันยังไง จะอยู่กับมันยังไง
แต่ตอนนี้ฉันยังไม่แข็งแกร่งพอ

ถ้าไม่โทษใครสักคน จะกลายเป็นฉันที่โทษตัวเอง
ถ้าไม่ใช่ความผิดใคร แล้วความรู้สึกนี้มาจากไหน
ถ้าไม่ใช่ความผิด สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับได้หรือ
ถ้าไม่มีคนผิด ฉันควรได้รับมันจริง ๆ หรือ
ถ้าไม่โทษใครสักคน จะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้
แต่ถึงจะต้องโทษใครสักคน ฉันจะอยู่
ฉันจะอยู่ ฉันจะมีชีวิตให้ได้นานที่สุด
ฉันจะอยู่ จนกว่าจะทนไม่ไหว
ฉันจะอยู่ จนกว่าจะได้สะสาง
ฉันจะพยายามอยู่ต่อไป
.
.
.
‘คิมหันต์อันสดใส ใครบางคนกำลังร้องไห้’
.
อากาศอันอบอ้าวทำให้ฉันรู้สึกแย่ได้เสมอ
ฉันไม่เคยมีเพื่อน มันคือการกลั่นแกล้ง
โลกใบใหม่ใช้คำว่าบูลลี่
ฉันถูกบูลลี่ด้วยการแบนตั้งแต่อายุเจ็ดปี
มันเริ่มมาจากการเข้าไปเป็นเด็กใหม่เพียงคนเดียวที่นั่น
ในหน้าร้อนปีนั้น ในหน้าร้อนบ้านั่น
กฎการเอาตัวรอดคืออย่าทำตัวเด่น
แต่เด็กอย่างฉันจะไปรู้อะไรเล่า ที่ผ่านมาฉันอยู่ในเรือนกระจก
พอต้องมาอยู่ในโลกของจริงจะให้ทำยังไง
ฉันแค่เป็นฉัน ณ ตอนนั้น
และนั่นคือความผิดใหญ่หลวง
ฉันไม่ควรยกมือตอบคำถาม
ฉันไม่ควรเข้าไปคุยกับคุณครู
ฉันไม่ควรมาอยู่ที่นี่
ถ้าฉันไม่ทำสิ่งเหล่านั้น
การกลั่นแกล้งคงไม่เกิดขึ้น
ผู้คนที่นี่ไม่ชอบเห็นใครเกินหน้าเกินตา
คนที่นี่แม้จะอายุเท่ากัน
แต่พวกเขาโหดร้ายเหลือเกิน
ใช่
นั่นทำให้ฉันมีปัญหา
ในการเข้าหาหรือคบกับใคร
.
.
“เหมือนมีอีกหลายเรื่องที่เรายังไม่เข้าใจกันและไม่มีทางเข้าใจกัน”
.
ฉันได้รู้จักกับเด็กคนหนึ่ง
เด็กที่ต้องการฉกฉวยวิธีการเขียนของฉัน
ฉันไม่ได้เกลียดอะไรแบบนั้น
นับจากนี้ เธอคือเพื่อน
หวังว่าเธอจะสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง
ฉันจะเล่าทุกเรื่องให้เธอฟัง
ได้โปรด..
ช่วยฉันที
.
.
.
“อัตตาแหลกสลาย ตัวตนพังทลาย
ดอกไม้ที่รากเน่า เธอจะเบ่งบานได้อีกไหม?”
.
คนพวกนั้นจะรู้ไหมนะ ว่าได้ทำลายชีวิตคนคนหนึ่ง
ได้พังทลายขนาดไหน
ฉันต้องกินยาทุกวัน ต้องเสียเงินจำนวนมากต่อเดือน
เพื่อที่จะเป็นคนปกติ
พวกมันรู้ไหม พวกมันจะรู้สึกผิดไหม
บอกฉันที
ฉันไม่อยากต้องโทษตัวเองอีกต่อไปแล้ว
บอกฉันทีว่าฉันไม่ผิด
ตอนนั้นแม้จะย้ายออกมา
หลังจากอยู่ที่นั่นได้แค่ปีเดียว
แต่นั่นไม่ได้เยียวยารักษาฉันเลย
บาดแผลใหญ่เกินไป กับฉันที่ไม่พร้อมจะเติบโต
.
.
.
“หน้าร้อนที่มีทุกปี หน้าร้อนที่เปลี่ยนไป
หน้าร้อนที่ทำให้หายใจลำบาก”
.
หลังจากนั้นทุก ๆ การเปิดเทอมวนมาทุกปีกับหน้าร้อนโดยเฉพาะในเดือนกรกฎา
ความโศกที่ลืมที่มาไปแล้ว หน้าร้อนแล้วหน้าร้อนเล่า
ฉันเกลียดมัน หน้าร้อนที่ทำให้ใจโหวงเหวง
หน้าร้อนที่มาพร้อมกับความคาดหวัง หน้าร้อนที่มาพร้อมกับความฝันอันเต็มเปี่ยม
มันค้างคามาตลอด ไม่ว่าจะหน้าร้อนตอนนั้นเมื่อเจ็ดขวบ หรือหน้าร้อนตอนฉันอายุ 17 เหมือนฉันไม่เคยก้าวไปไหน
เหมือนฉันไม่เคยพัฒนาอะไรจากบาดแผลของหน้าร้อนนั่น
หน้าร้อนอันเดียวดาย หน้าร้อนอันหนาวเหน็บ
หน้าร้อนที่ทำให้ฉันตระหนักได้ว่าฉันได้วนเข้าใกล้ความตายอีกครั้งในแต่ละปี
ก็ใช่ว่าลืมที่มา ถ้าจะให้เล่า
มันเป็นหน้าร้อนวันที่ 19 กรกฎา
เดือนแห่งการสอบกลางภาคของเด็กมัธยม
ทำให้ฉันมีความรู้สึกแน่นที่หน้าอก
ทั้งการเข้าสังคมใหม่ ทั้งการสอบ ทั้งความคาดหวังและอะไรต่อมิอะไร ทุกครั้งที่ฤดูนี้เข้ามา
ฉันจะรู้สึกแย่ลงทุกครั้ง
ไม่รู้ว่าทุกคนเป็นเหมือนกับฉันหรือเปล่า
แต่หน้าร้อนครั้งที่ 17 ของฉันมันบีบคั้นเหลือเกิน
ฉันที่ยังจมปลัก
ครอบครัวที่คาดหวังกับผลการเรียน
ฉันเหนื่อยมามากแล้ว แต่ทุกคนไม่รู้ถึงสิ่งนั้น
ใช้ชีวิตของตัวเอง โยนความคาดหวังมา
แล้วเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
.
.
.
“เราต่างเป็นเหยื่อของความสัมพันธ์”
.
สุดท้ายแม้แต่เธอก็ไม่เข้าใจ แต่ฉันโทษเธอไม่ได้
การขอความช่วยเหลือของฉันล้มเหลวอีกตามเคย
เธอไม่ผิดหรอก แค่วิธีการของฉันมันยุ่งยาก
ต้องมานั่งถอดรหัส ต้องมานั่งอ่านใจ
ใครเล่าจะเข้าใจไปเสียทุกสิ่ง และเธออายุแค่ 14
เพิ่งเจอโลกใบนี้มาไม่นาน
ฉันไม่อยากทำลายโลกของเธอเลย
แต่ฉันทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
.
.
.
“ความสุขล้นกลายเป็นเถ้าถ่าน ความสิ้นหวังเข้าปะทะ ความว่างเปล่าหวนคืน”
.
แผลที่หนึ่ง
สอง
สาม
ฉันไม่สามารถกลายเป็นคนเดิมได้อีก
ฉันต้องทนอยู่กับมันไปจนถึงเมื่อไหร่
เมื่อผลลัพธ์ของความเจ็บปวดยังอยู่ตรงหน้า
10 ปีที่ฉันอยู่กับมันมา ความรู้สึกห่าเหวพวกนี้
จะให้ฉันเมินมันได้ยังไง
ในเมื่อผลลัพธ์ยังอยู่ตรงหน้า
ในเมื่อฉันยังไร้เพื่อน
ในเมื่อฉันยังเกลียดตัวเองขนาดนี้
ฉันเจอที่พักใจชั่วคราว
อย่างน้อยความเจ็บปวดก็ดึงสติฉันได้บ้าง
ฉันยังอยู่ตรงนี้ ยังเจ็บปวด ยังมีชีวิตอยู่
ฉันจำเป็นต้องทำมัน เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
.
.
.
“ดอกรัก ดอกแตรนางฟ้า
เหล่าดอกไม้สีขาวมีพิษถึงแก่ความตาย
ดอกคาร์เนชั่น ดอกเบญจมาศ
มดอกไม้สีขาวใช้ในงานที่มีคนตาย
เจ้าชื่นชมดอกไม้โดยรู้สัญญะแฝงเหล่านี้หรือไม่”
.
มันเหมือนกับการดื่ม หรือการสูบบุหรี่
คุณจะลืมไปชั่วครู่ว่าคุณเจ็บปวดจากเรื่องใดมา
มันเหมือนบุหรี่สิบห้านาทีที่คุณจะได้พักจากสิ่งต่างๆ
ฉันไม่มีอนาคต มันมืดมนเหลือเกิน
ขอเพียงแค่ได้อยู่ต่อไปอีกสักวินาที
นั่นก็ดีพอแล้วไม่ใช่หรือ
อย่างที่ทุกคนพูดกันไง
‘อย่างน้อยเธอก็ยังมีชีวิตอยู่นี่’
ความรู้สึกที่ฉันต้องแบกรับ
ความรู้สึกที่ปล่อยมันไปไม่ได้
ถ้าปล่อยมันไป
จะเป็นการไม่เคารพตัวเองหรือเปล่านะ
.
.
.
“ความเศร้าเข้าคืบคลาน ความตายร่นระยะ
ความสุขปลิวหาย ความจริงปรากฏ
คืนสุขไร้ดาว คืนโศกสีหม่น”
.
การทำร้ายตัวเองเริ่มไม่ให้ผลตอบรับตามที่ต้องการ
ความเศร้ายังคงอยู่
ฉันยังคงร้องไห้
ฉันยังคงใช้ชีวิตอยู่ในอดีต
“ความหนักอึ้งของชีวิต
น้ำหนักของการกระทำและคำพูด”
.
ที่ห้องแห่งความทรงจำของฉันกับเธอ
ขอโทษจริง ๆ ที่ต้องทำลายมัน
แสงสุกสว่างสีอำพันฉายจ้าระยิบระยับ
ดูจะเป็นแสงแห่งความสุข
ดูจะหัวเราะเยาะกันอยู่
ฉันว่าฉันไม่ไหว รู้สึกหายใจไม่ออก
มันทั้งร้อนและชื้น
ถ้าก้าวออกไป ฉันจะเป็นอิสระจากความรู้สึกเหล่านี้ไหมนะ
.
.
.
แสงสว่างดับพลัน
แล้วความเศร้าจะคงอยู่ตลอดกาล
(คำพูดของ Vincent Van Gogh)
เกี่ยวกับผู้เขียน
Kireina Kura เคยอัพเรื่องสั้นใน Spikewrite ชื่อ “ความโหยหาของอิคารัส”
ปัจจุบันกำลังเตรียมตัวทำรวมเล่มรวมเรื่องสั้นในนามปากกาใหม่ Hayashi Yoshifumi
เรื่องราวต่าง ๆ ที่บรรจงเขียนมักมีเนื้อหาหม่นเศร้า เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความโหยหา
(ว่ากันว่างานเขียนสะท้อนตัวตนของผู้เขียนล่ะ) ปัจจุบันเผชิญหน้ากับปัญหาสุขภาพจิตและกาย ไม่รู้จะตายตอนไหนจึงอยากทำหนังสือเป็นชิ้นเป็นอันกับเขาบ้าง
ช่องทางติดตาม Instagram: Kireina_Kura (เนื่องจากเป็นพื้นที่ค่อนข้างส่วนตัว สามารถเลิกติดตามได้ทุกเมื่อค่ะ)









