คำนำจากผู้เขียน
แต่เดิม เรื่องสั้น ความโหยหาของอิคารัส เรื่องนี้เคยเกือบมีชื่อว่า “หน้าร้อน” ผลงานชิ้นนี้
แต่งขึ้นในเดือนกันยายเดือนป้องกันการฆ่าตัวตายสากล “ความโหยหาของอิคารัส”
เป็นผลงานชิ้นที่สองที่ผู้เขียนค่อนข้างภูมิใจ หลังจากกลับมาแต่งเรื่องสั้นอีกครั้งอย่างจริงจังในรอบสี่ปี ผู้เขียนเคยส่งเรื่องสั้นมาแล้วเรื่อง “Once, when the Sun is Shining”
แต่ไม่ผ่านตากรรมการของทางหมวดภาษาไทย (ผู้เขียนเป็น ต.อ. 82 และ ต.อ. 83)
แต่ดันไปเข้าตาผู้ดูแลเว็บไซต์ Storylog ซึ่งก็กอบโกยความมั่นใจกลับมาได้เล็กน้อย
เดิมทีเรื่องนี้ไม่ได้แต่งเพื่อวัตถุประสงค์เพื่อเข้าประกวด และผู้แต่งรู้ดีว่าเรื่องนี้
“ความโหยหาของอิคารัส” ขาดมิติของตัวละครรวมถึงปมเรื่องไปมากโข และจะทิ้งความรู้สึกอึดอัดแปลกๆ ไว้ เป็นตัวอย่างชั้นยอดของงานเขียนครึ่งๆ กลางๆ แต่นั่นคือความรู้สึกที่ผู้เขียนต้องการให้นักอ่านรู้สึก ต้องการให้นักอ่านตัดสินใจลงมือทำอะไรสักอย่าง จะโบยบินออกไป จะเข้าไปพูดคุย จะอยู่เคียงข้าง หรือจะแสร้งเมิน ก็สุดแล้วแต่ หวังว่าหลังจากอ่านเรื่องนี้จบ นักอ่านจะลงมีอะไรหลงเหลือหรือตกตะกอนในความคิดบ้าง
ขอให้มองท้องฟ้าต่อไปได้ และผ่านทุกฤดูกาลโดยไม่รู้สึกอึดอัด
คำอาลัยแด่เธอผู้แตกสลาย ยากเกินกว่าจะประกอบกลับ
คำยกย่องแด่เธอที่ยังมีชีวิตอยู่
คำวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า อย่าได้ใจร้ายมากนักเลย
อุทิศแด่เธอ เหล่าดอกไม้ที่กำลังจะเบ่งบาน
คำเตือน : มีเนื้อหาเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย
โปรดสังเกตสัญญะของดวงอาทิตย์คุณ
อย่าให้พวกเขาต้องกลายเป็นดาวดับแสง
โปรดอย่าใช้ปีกนั้นโบยบิน
โปรดอย่าเป็นดาวดับแสงหรือดาวหาง
โปรดเป็นดวงจันทร์ทอแสงสีเงิน
โคจรอยู่รอบกันไม่จากไปไหน
1
“ฉันเกลียดหน้าร้อน มันทั้งร้อน ชื้น และทำให้หายใจไม่ออก”
บ่ายวันนี้ฉันออกจากบ้านอย่างที่แม่พร่ำบอก ให้ออกไปด้านนอก เจอสิ่งใหม่ๆ ดูแลตัวเองบ้าง
จะว่าไป ใช่ช่วงนี้ของปีไหมนะที่เราเจอกันครั้งแรก
เป็นหน้าร้อนเมื่อหลายปีก่อน ปีที่ทำให้ฉันทั้งหายใจออกเป็นครั้งแรก
และได้สัมผัสว่าตัวฉันนั้นเล็กแค่ไหนบนโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้
โดยที่ไม่ได้นึกสงสัย
.
.
.
‘นักเขียน’ เป็นสิ่งที่ฉันนิยามตัวเองแบบนั้นมาตั้งแต่ม.ต้น
ในปีที่สองของการเข้ามาเกลือกกลิ้งอย่างงูๆ ปลาๆ
งานเขียนชิ้นเล็กๆ ของนักเขียนโนเนมได้รับเลือกให้เป็นรางวัลอันดับที่สาม
ในฮอลล์รับรางวัลที่ฉันไม่อาจลืม
ห้องโถงกว้างใหญ่ขนาดบอลรูม เพดานดับเบิ้ลสเปซ
เด็กตัวเล็กๆ ในชุดมัธยมต้นถักเปียยาว
ฉันยืนอยู่กับแม่สองคน
มาก่อนเวลาตั้งหลายชั่วโมงก่อนงานประกาศรางวัล
เห็นเธออยู่กลางฝูงชนในชุดมัธยมปลาย
แต่นั่นไม่ได้ทำให้ประกายแสงอันเจิดจ้าของเธอถูกกลบเลย
มองปราดเดียวก็รู้
อา… เด็กที่ได้ที่หนึ่งสินะ
บรรยากาศรอบตัวเธอดูเป็นแบบนี้นี่เอง
นี่สินะ คนที่ประสบความสำเร็จ
ถึงเราจะมารับรางวัลเดียวกันแต่ฉันไม่เคยอ่านงานที่เธอเขียนสักนิด
อย่างว่า เธอคือคนที่พิเศษยังไงงานของเธอก็ต้องพิเศษ
ด้วยความคิดเด็กๆ
ฉันคับแค้นใจ โตกว่ากันแค่ไม่กี่ปีทำไมฉันจะทำบ้างไม่ได้
หลังจบงานฉันกลับบ้านรีบเปิดเว็บไชต์นิยายเว็บดังสีเขียว เข้าไปอ่าน ‘เรื่อง’ ของเธอ
.
.
.
ตอนนี้ฉันวิ่ง วิ่งสุดชีวิต
ผมสั้นๆ ระคออย่างน่ารำคาญเพราะถูกมัดลวกๆ
ไอแดดระอุทำให้เวลาหายใจเข้ารู้สึกเหมือนปอดถูกแผดเผา
หน้าแดงร้อนและเหงื่อชุ่ม ฉันมุ่งหน้าไปยังโรงเรียน
วิ่งจนเหนื่อยหอบขึ้นไปชั้น 4
ห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นของสีน้ำมัน
ห้องธรรมดาเพดานต่ำให้ความรู้สึกเหมือนหัวถูกกดทับ
ห้องที่เราเคยอยู่
เปิดประตูอย่างเร่งรีบ แสงแดดส่องสะท้อนแสบตาเห็นทิวทัศน์ที่คุ้นเคย
ตอนนี้ปีกของฉันขาดวิ่น
.
.
.
ตอนนั้นฉันกลับไปอ่านงานของเธอ อ่านผ่านๆ ปราดตาทั่วๆ
ก็ไม่เท่าไหร่นี่ แม่คนพิเศษ
อัตตาของฉัน ความอหังการหลังได้รับรางวัล
เรื่องที่เธอแสนพิเศษเขียนออกมา
มันก็แค่เรื่องเศร้าดาษๆ ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น
งานเขียนของเธอให้บรรยากาศเดียวกันกับเธอ
เธอมักเขียนเรื่องน่าอึดอัด อึดอัดจนชวนอ้วก
เรื่องเล่าแห่งความรู้สึก
เธอเล่าความรู้สึก ความรู้สึกล้วนๆ
ราวกับฉุดกระชากฉีกทึ้งตีแผ่ออกมาให้เห็น
ไร้การปรุงแต่ง มีรสขม และสลักลึกลงในใจ
เพราะไร้การปรุงแต่ง ถึงได้ยิ่งเหมือนกับเธอเข้าไปใหญ่
เธอที่มีแววตาแห่งความเศร้าคลุ้งอยู่
ฉันเลื่อนอ่านลงไปเรื่อยจนเจอนามปากกา
ช่างเป็นชื่อที่คุ้นตา
เธอนี่เอง คนที่ได้ขึ้นหน้าแนะนำบ่อย ๆ คนนั้น
2
วันต่อมาฉันพุ่งเข้าหาเธอ เราอยู่โรงเรียนเดียวกัน ฉันจำเครื่องแบบได้
แต่ทำไมเครื่องแบบน่าเกลียดนี่
เมื่ออยู่บนตัวเธอแล้วถึงได้ดูสง่างามขนาดนั้น
ราวกับอยู่ไกลเหลือเกิน ราวกับไม่มีอยู่จริง
เธอที่ฉันเห็นเป็นครั้งที่สอง
ผมสีดำต้องแสงสีกุหลาบ งดงามราวภาพวาด
นัยน์ตาสีดำสนิท เป็นประกายเล็ก ๆ ราวท้องฟ้ายามราตรี
ราวกับโลกนี้ ภาพนี้
สถานที่และเวลานี้ถูกสร้างมาเพื่อเธอ
หลังจากหลุดออกจากภวังค์นั้นได้ฉันก็เอ่ยปาก
“หนูอ่านเรื่องของพี่แล้ว”
“แล้ว?” เธอเลิกคิ้วขึ้น แต่แววตาไร้ความตกใจสั่นไหว
“หนูอยากอ่านอีก” ฉันพูดไปงั้น
“อ่านสิ ในเว็บมีตั้งหลายเรื่อง”
นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการจากเธอ
“ไม่ใช่ หนูอยากรู้ว่าพี่ใช้ชีวิตยังไง”
“…”
“จะอ่านงานเขียนของใครให้ปรุโปร่งต้องดูชีวิตนักเขียนด้วยสิ”
“จะมาขอเป็นเพื่อนว่างั้น?”
ได้ยินอย่างนั้นฉันก็นิ่งอั้น
โอเค เพื่อนก็เพื่อน
หลังจากนั้นเราก็เจอกันหลังเลิกเรียนอยู่ประจำ
ที่ห้องศิลปะชั้น 4 ของโรงเรียน
แสงอาทิตย์พร่างพราวราวกับย้อมความทรงจำเหล่านั้นให้เป็นสีทองส่องประกาย
พื้นที่ต้องห้ามของเรา ห้องโล่งเปล่า เก้าอี้ระเกะระกะ
สวยงามเสมอในความคิด
ห้องที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของฉันรวมถึงเธอ
เรื่องราวไร้การจดบันทึกใด
เราแลกเปลี่ยนวิธีการเขียนให้กัน ช่วยกันเกลาคำต่างๆ
งานเขียนของฉันดีขึ้นเรื่อยๆ จนตีขึ้นมาอยู่หน้าเดียวกับเธอได้
เรียกว่าเป็นคลาสเล็กๆ ของนักเขียนก็คงไม่ผิดนัก
.
.
.
ตอนนี้ฉันมาถึงแล้ว
“ตรงนี้สินะ” ฉันคิด
“ที่ตรงนี้ เวลานี้”
เธอที่มีสีผมของท้องฟ้ากลางคืน
เธอที่ยังสง่างามในชุดแย่ๆ
เธอที่ยังเก็บเรื่องราวไว้อีกมาก
ช่วงเวลาเหล่านั้นฉันได้แต่คิด
อายุแค่ 17 ทำไมถึงได้ดูสงบนิ่ง
เหมือนผ่านอะไรมามากมายขนาดนั้น
ราวกับสีสันแห่งวัยเยาว์ได้จางหาย
ราวกับเป็นสีแห่งความว่างเปล่า
สีสันแห่งยามค่ำคืน
แต่ขณะเดียวกันเธอคือแสงเดียวของฉัน
เป้าหมายเดียวที่ฉันอยากไปให้ถึง
ถึงจะดูเป็นท้องฟ้ายามราตรีอันเงียบสงัด
แต่งานเขียนและการมีอยู่ของเธอคือแสงตะวันของฉัน
แสงสุกสว่าง แสงที่ไม่อาจเอื้อม
และฉันเป็นอิคารัส
3
เราสองแลกเปลี่ยนเรื่องราวกันมากมาย
เรื่องของเธอมักมีแต่เรื่องทุกข์ที่ฉันไม่เข้าใจ
และฉันที่ยังเด็กยิ่งไม่เข้าใจไปใหญ่
เธอประสบความสำเร็จถึงขนาดนั้น
เติบโตอยู่ในวงสังคมที่ดีขนาดนั้น
ดอกไม้ในเรือนกระจก
จะเศร้าใจอะไรนัก
ตอนนี้และที่ผ่านมาฉันเกลียดตัวเองเหลือเกิน
เกลียดสังคมนี้ เกลียดคนรอบตัวเธอ เกลียดเธอ
แต่เกลียดที่สุดคือตัวเอง
ตัวฉันที่ยังเด็กนั้นไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เธอจะสื่อเลยแม้แต่น้อย
หน้าร้อนที่หายใจลำบากอะไรนั่น
ความชื้นบ้าบออะไรนั่น
คือน้ำตาที่ไหลอาบ
เป็นความกดดันที่ถาโถมเข้ามา
มันทำให้หายใจไม่ออก
แต่สำหรับเธอมันอาจหนักหนามากกว่านั้น
ตอนนี้เข้าใจหมดทุกอย่างแล้ว
แต่จะมาเข้าใจ มาทำเป็นเอาใจใส่อะไรเอาป่านนี้
ตัวฉันเมื่อตอนนั้นได้มองข้ามความเจ็บปวดของเธอ
ใช้ชีวิตโดยที่ไม่ได้นึกสงสัยสิ่งใด
หายใจเข้าออกอย่างสบายใจ
ราวกับกำลังเหยียบย่ำหัวเราะความรู้สึกของเธอ
.
.
.
ที่ที่ฉันยืนอยู่ตอนนี้
คงเป็นที่เดียวกับเธอ ณ เวลานั้น
ยามแสงสีส้มสาดส่อง
ท้องฟ้าไร้เมฆหม่นเปิดกว้าง
เธอเห็นภาพเดียวกันกับฉันไหมนะ
ความสูงราว 21 เมตร
เธอเคยทิ้งตัวลงมา
จากที่นี่ ตรงนี้
เธอคิดอะไรอยู่กันนะ
ถึงทิ้งร่องรอยบาดลึก แผลเหวอะหวะไม่สามารถรักษาได้ไว้ให้ฉัน
4
ถ้าจะบอกว่าไม่เคยเห็นสัญญะใด
ไม่เคยได้ยินการกรีดร้องขอความช่วยเหลือของเธอคงเป็นเรื่องโกหก
ทุกถ้อยคำที่เธอบรรจงเขียนขัดเกลา
คำพูดชวนให้หงุดหงิดบางอย่าง
ทุกเรื่องราวที่เคยเล่า
ทุกสิ่งเป็นสัญญานบอกมาตลอด
เธอส่งเสียงเรียกมาตลอด ส่งเสียงดังที่สุดเท่าที่ทำได้
ตะเกียกตะกายอย่างน่าสงสารแตไม่มีใครได้ยิน
ไม่สิ ได้ยิน
ทั้งได้ยินและมองเห็นแต่ทำเป็นมองไม่เห็น
ซ้ำยังแปะป้ายนักเขียนเยาวชนให้เธอ
แปะป้ายน่ารังเกียจ ทำให้การร้องขอความช่วยเหลือกลายเป็นเรื่องปกติ
ทำให้เรื่องราวความเจ็บปวดของเธอเป็นสินค้า
แต่สิ่งที่น่าเจ็บใจที่สุด
สิ่งที่ให้อภัยได้ยากที่สุด
คือตัวฉันที่เคยบริโภคความเศร้าเหล่านั้น
ละเลียดเสพสมความทุกข์ของคนอื่น
ชื่นชมค้นหาราวกับเป็นสิ่งจรรโลงใจ
ตอนนี้อิคารัสของเธอกำลังจะตามเธอไป
และก่อนไปฉันได้ทิ้งข้อความเหล่านี้ไว้
ข้อความแห่งความทุกข์ ข้อความเพื่อไว้ทุกข์
ข้อความไว้อาลัย
แต่พระเจ้าเล่นตลกบ้าบออะไรกัน
ข้อความของฉันได้รับรางวัลเดียวกัน สาขาเดียวกัน
ในตอนที่อายุเท่ากันกับเธอในตอนนั้น
ฉันออกจากห้องอับๆ นั้นมา
ห้องที่ฉันนั่งเขียนบรรยายความรู้สึกโสมมของตัวเอง
ฉันกำลังกลายเป็นเธออยู่กลายๆ
อยู่กับรางวัลเรียงรายมากมายที่ได้รับ
แต่ของปลอมน่ะเทียบของจริงไม่ติดหรอก เธอก็รู้
.
.
.
อาทิตย์อัสดงยังคงสวยงามเสมอ
ตอนนี้ฉันกำลังเปล่งประกาย
งานรับรางวัลปีนี้ฉันก็ไม่ได้ไป
เอาแต่นั่งโลมเลียแผลที่เธอฝากไว้ให้มาตลอดสามปี
วันนี้ฉันออกมาจากห้องมืด มาส่องประกายเป็นดาวหางที่ทุกคนจดจ้อง
เพื่อที่จะส่องสว่างเป็นครั้งสุดท้าย
ราวดาวหางมอดไหม้เมื่อโคจรใกล้ดวงอาทิตย์
ที่ผ่านมาฉันใช้ชีวิตราวกับรอการกลับมาของดาวฤกษ์
เล่นภาพเธอซ้ำๆ ในความทรงจำ
ตอนนี้ฉันได้ส่งข้อความเหล่านั้นแล้ว
ความเจ็บปวดของนักเขียน ความเศร้าเคล้าแสงสว่าง
เธอยังไม่ตาย
เรื่องราวของเธอจะถูกบันทึกไว้ เรื่องราวของเธอจะไม่มีวันตาย
เธอเป็นคนพูดเองนี่
‘นักเขียนน่ะจะตายลงจริงๆ ก็คือตอนที่ไม่มีใครอ่านเรื่องราวเหล่านั้น’
หวังว่าเธอจะไม่เสียใจกับคำพูดนี้นะ
เพราะเธอจะไม่มีทางตาย
ฉันก็ได้แต่ภาวนา เพื่อที่จะไม่ให้มีใครได้ทำผิดพลาดเหมือนกับฉันอีก;
.
.
.
ลาก่อนแสงสุดท้ายแห่งวัน
ฉันจะกลับไปอยู่กับเธอ
ส่งท้าย.
ไม่รู้ว่าในวาระสุดท้ายความรู้สึกของอิคารัสเป็นยังไง ผู้เขียนอ่านอะไรแบบนั้นไม่เข้าหัวเท่าไหร่
ไม่รู้ว่าอิคารัสได้รู้สึกถึงความอบอุ่นแบบนี้ไหม
ไม่รู้ว่าอุณหภูมิของดาวดับแสงเย็นสบายแบบนี้หรือเปล่า
แต่ตอนอยู่กับ ‘เธอ’ มันทั้งอิ่มเอม อบอุ่นและสบายใจมากเลย