เรื่องสั้น 17.00 – 18.00 นาฬิกาของทุกวัน ของ กิตติศักดิ์ คงคา เป็นเรื่องที่สองใน Short Story Season (SSS) : Winter ด้วยเนื้อหาประเด็นเดียวและมีตัวละครหลักเพียงสองตัว แต่ทำให้ผู้อ่านสามารถมองเห็นความคลุมเครือของเหตุการณ์ที่เล่นกับปัญหาเชิงจิตเวชได้เป็นอย่างดี แม้จะเป็นนักเขียนหน้าใหม่ในบรรณพิภพ แต่มีผลงานการเขียนอย่างต่อเนื่อง น่าจับตามอง
“ฉันจะฆ่าตัวตาย”
แม่พูด และวางปืนลงบนโต๊ะ หลังจากพ่อตายไป แม่ก็ไม่เคยเหมือนเดิม แม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า หนักหน่วง ยาวนาน
“วันนี้แม่กินยาหรือยัง”
ผมถาม พยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น แม่ไม่ตอบ แต่พูดกับผมต่อว่าจะฆ่าตัวตายแบบไหน ด้วยวิธีใด และอย่างไรบ้าง นานเกือบหนึ่งชั่วโมงที่แม่ร้องไห้ฟูมฟาย ผมนั่งฟังอยู่เงียบๆ จนเสียงเพลงชาติดัง แม่ก็หยิบยามากินตามกำหนด และเดินเข้าห้องนอนไป
นี่เป็นกิจวัตรที่ผมต้องเจอมาเป็นเวลาเกือบหกเดือนแล้ว ในเวลา 17.00 – 18.00 นาฬิกาของทุกวัน แม่จะหยิบปืนขึ้นมาวางบนโต๊ะ และขู่จะฆ่าตัวตาย ซ้ำไปซ้ำมา
ในตอนแรกผมพยายามทำทุกวิถีทาง อ้อนวอน ปลุกปลอบ ให้กำลังใจ ข่มขู่ ประชด จนทั้งหมดกลายเป็นความสิ้นหวัง เมื่อแม่บอกว่าจะตาย ผมก็เหมือนต้องตายตามไปด้วย ผมมักจะนั่งหันหลังให้แม่ รับฟัง และร้องไห้ออกมาอย่างเหลือทน
แม่จะเก็บปืนนั่นไว้ใต้หมอน ปืนที่พ่อทิ้งไว้เป็นของต่างหน้า ในทุกคืนผมมักจะสะดุ้งตื่นขึ้นตอนกลางดึก เหมือนได้ยินเสียงปังดังลั่นมาจากความลี้ลับของบ้าน
หลายต่อหลายคืนผมจะเดินไปที่ห้องแม่ เอาหูแนบกับประตู พยายามจะฟังว่าแม่ได้ตายไปแล้วหรือเปล่า แม่ฆ่าตัวตายไปจริงแล้วหรือเปล่า จนได้ยินเสียงกรนของแม่ ผมก็จะกลับขึ้นไปนอนอีกครั้ง หลับไปกับฝันร้ายที่ทำให้ตัวชุ่มเหงื่อทุกครั้งที่ลืมตา
แม่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ขณะที่ผมได้รับการวินิจฉัยว่าสุขภาพจิตแข็งแรงดี แต่เกือบสองร้อยวันผ่านไป ผมตัดสินใจกลับไปพบจิตแพทย์อีกครั้ง
ระยะหลังผมไม่สามารถอยู่ที่แคบๆ กับแม่ได้ เช่น รถยนต์ ห้องปิด ผมเคยไปโดนตัวแม่โดยไม่ได้ตั้งใจ ผมเผลออาเจียนออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ มือสั่น ตัวสั่น ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วเหมือนคนจะตาย ผมได้รับของขวัญใหม่เป็นโรคซึมเศร้าที่มีอาการวิตกกังวลเด่นชัด
นั่นคือช่วงเวลาที่มืดบอดที่สุดในชีวิตผม เหมือนเป็นกลางคืนที่ยาวนานไม่มีจุดสิ้นสุด ผมกินยาแผงแล้วแผงเล่า ขอร้องให้แม่กินยาแผงแล้วแผงเล่า ผมไม่คิดแม้กระทั่งตัวเองจะมีชีวิตอยู่ไปทำไมด้วยซ้ำ เพราะผมไม่เคยหาคำตอบได้
ผมแค่รอความหวังที่อรุณรุ่งพรุ่งนี้จะยังมา เช้าวันใหม่ที่อาจจะหมายถึงตัวผมคนเดิม คนที่ยิ้มและหัวเราะได้อย่างมีความสุข มีความหลงใหลใฝ่ฝันอย่างที่มนุษย์สักคนควรจะมี
ผ่านไปเกือบปี จิตแพทย์บอกว่าแม่หายแล้ว ผมยังจำวันนั้นได้ดีที่สุด แม่เดินออกมาจากห้องตรวจ พูดกับผมด้วยเสียงเรียบนิ่ง
“หมอบอกว่าแม่หายแล้ว แม่ไม่ต้องกินยาแล้ว” แม่เว้นจังหวะไปชั่วอึดใจ
“นี่คือของขวัญที่ดีที่สุดที่แม่เคยได้มาในชีวิต”
แม่พูด ผมฟัง และร้องไห้ออกมา แม่ไม่ขู่จะฆ่าตัวตาย ไม่ขู่จะมีสามีใหม่อีกแล้ว แม่ไม่ขู่จะไล่ผมออกจากบ้าน ไม่แล้ว แม่ไม่ได้ทำแบบนั้นอีกเลย
ผมได้รับคำสั่งให้หยุดยารักษาโรคซึมเศร้าและวิตกกังวลหลังจากที่แม่รักษาจนหายแล้วเป็นเวลาเกือบสามเดือน
“ไปมีชีวิตได้แล้วนะ” จิตแพทย์พูด ผมยังจำน้ำเสียงนั้นได้ดี ผมได้ชีวิตคืนมา รุ่งสางของผมมาถึง
“ผมหายแล้วเหรอครับ”
“หายแล้ว”
ผมถาม และได้คำตอบหนักแน่นกลับมา ผมเดินออกจากโรงพยาบาล ผมโทรบอกแม่ ไม่รู้ว่าทำไม แม่ตอบกลับมาว่า
“กลับบ้านนะ กลับมากินข้าวด้วยกัน” ตอนนั้นผมรู้สึกว่าบ้านคือบ้านจริง ๆ
ผมใช้ชีวิตเรื่อยมาใต้แสงตะวันอุ่น แทบจะลืมไปแล้วว่าความมืดมิดของค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นเช่นไรบ้าง ทำงานวันต่อวัน สังสรรค์กับเพื่อน นั่งนับวันเงินเดือนออก เกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าห้วงเวลาเลวร้ายที่ผ่านมาเป็นอย่างไร จนกระทั่งบริษัทที่ผมทำงานด้วยปรับผังองค์กรใหม่ และผมถูกเชิญออกจากงาน
ความจริงนั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมต้องออกจากงานกะทันหัน แต่นั่นก็เป็นอีกครั้งที่ผมอาเจียนออกมาอย่างหมดไส้หมดพุง มือสั่น ใจสั่น ร้องไห้ หายใจเร็วเหมือนคนกำลังจะตาย ผมควบคุมอะไรไม่ได้สักอย่าง รู้สึกเหมือนร่างกายนี้ไม่ใช่ของผมอีกต่อไป
ผมคิดว่าอาจจะแค่คิดไปเอง วิตกจริตไปชั่วครั้งชั่วคราว แต่ยิ่งสืบค้นและติดตามไปในแต่ละห้วงอารมณ์ ผมยิ่งค้นพบว่าไม่ใช่ ผมไม่ใช่ใครคนเดิม ไม่ใช่คนเดียวกับอีกคนก่อนที่จะผ่านพ้นคืนค่ำที่แล้ว
ผมอ่อนไหวไปกับทุกเรื่อง บางวันแค่ฝนตก ผมก็ร้องไห้ บางครั้งแค่ทะเลาะกับเพื่อนในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มือก็สั่น ไม่ว่าจะเรื่องเล็กจ้อยแค่ไหน การตอบสนองของร่างกายของผมยิ่งใหญ่ และมากเกินไปเสมอ
“ร่างกายคุณไม่เหมือนเดิมแล้ว” ผมตัดสินใจกลับไปพบจิตแพทย์
“คุณเคยเป็นโรค พยาธิสภาพเหล่านั้นจะไม่หายจากคุณไปไหน ถึงแม้ว่าจะรักษาหายแล้ว แต่สมองของคุณก็ไม่ได้กลับมาเป็นแบบเดิม คุณจะมีความเสี่ยงในการกลับไปป่วยมากกว่าคนปรกติ และคุณก็มักจะมีอาการวิตกกังวลมากกว่าคนปรกติ”
ผมเข้าใจทุกคำ ทุกประโยค เข้าใจในความจริงแท้ว่าไม่มีอะไรเหมือนเดิม ผมกลับมาที่บ้าน แบกความรู้สึกหนักอึ้งกลับมา รู้สึกเหมือนตัวเองกลายร่างเป็นใครหรืออะไรสักอย่างที่ผมเองก็ไม่ค่อยจะรู้จักเท่าไหร่นัก
ผมเปิดประตูเข้าไป เจอแม่กำลังนั่งเล่นกับหมา หัวเราะอารมณ์ดี เหมือนแม่ไม่เคยเศร้า ไม่เคยเจ็บปวดมาก่อน ชั่วเสี้ยวลมหายใจหนึ่ง ผมโกรธแม่มาก โกรธที่แม่เคยทำร้าย โกรธที่แม่ทำให้ผมไม่สามารถกลับไปเป็นคนเดิมได้อีก โกรธที่แม่ทิ้งรอยแผลเป็นให้ผมไปทั้งชีวิต
แต่ก็แค่เสี้ยวเดียว…
แววตาตรงหน้าทำเอาผมหยุดนิ่งไปในห้วงความรู้สึกท่วมท้น แม่หันมามอง เค้ารางนั่นคือบ้านที่ผมแสวงหามาทั้งชีวิต ผมเดินไปกอดแม่ ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เสียงเพลงชาติร้องดังมาเป็นฉากหลัง แต่ครั้งนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม ผมร้องไห้ออกมาไม่หยุด สะอึกสะอื้นมากมาย แต่แม่ไม่ได้ถาม แค่กอดตอบ นุ่มนวลและอบอุ่นกว่าทุกครั้ง และในอ้อมอกแม่ ผมได้ค้นพบอะไรบางอย่าง
ค่ำคืนที่ผ่านฝากรอยแผลที่ไม่อาจลบหาย เตือนว่าครั้งหนึ่งผมได้เฉือนเลือดเนื้อและชีวิตของตัวเองให้กับใครคนหนึ่ง ใครคนหนึ่งที่ครั้งหนึ่งก็ได้เฉือนเลือดเนื้อและชีวิตของตัวเองให้กับผมมา รุ่งรางนั่นอาจจะได้ไม่สวยงามเท่าที่ผมเคยหวังไว้ แต่ไม่เป็นไร
…เพราะอย่างน้อย นั่นคือแดดแห่งเช้าวันใหม่ที่ผมเลือกเอง