Content Warning: บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องและกิจกรรมทางเพศ

แม้เวลาจะผ่านมาราว ๆ เกือบห้าปีแล้วตั้งแต่สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อุบัติขึ้นในประเทศไทย กระนั้น ผู้เขียนก็ยังมิค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าควรจะนิยามประสบการณ์ชีวิตในช่วงล็อกดาวน์อย่างไรดี ถ้าให้เปรียบเทียบง่าย ๆ ชีวิตในช่วงนั้นคงเสมือนปลาเลี้ยงในตู้กระจก มันเป็นความผ่อนคลายสบายใจจากสำนึกที่ว่าตนยังคงปลอดภัยตราบใดที่ยังอยู่ภายในอาณาเขตใสกั้น ทว่าสอดแทรกไปด้วยความกระอักกระอ่วนตามซอกมุม กลืนไม่เข้าคายไม่ออก กับระยะห่างทางสังคมและความรู้สึกที่ถูกบีบรัดให้แคบลงหรือห่างขึ้นยิ่งกว่าเดิม
บางที ความครึ่ง ๆ กลาง ๆ ทั้งหลายอันกล่าวถึงมาก่อนหน้านี้อาจเป็นคำจำกัดความส่วนตัวที่ดีสำหรับประสบการ์ณชีวิตช่วงล็อกดาวน์ของผู้เขียน เราถูกบังคับให้แยกออกห่างจากสังคมเพื่อมาจมปลักรวมตัวกันในพื้นที่สี่เหลี่ยมเล็กแคบของความเป็นบ้าน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แน่นอนว่าความจำเป็นต้องพึ่งพาคนที่อาศัยอยู่ร่วมในพื้นที่เดียวกันนี้ย่อมต้องเกิดขึ้น แต่ระยะห่างทางกายภาพนั้นดำเนินไปในครรลองเดียวกันกับระยะห่างทางความรู้สึกจริงหรือ สิ่ง ๆ นี้คือความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่ผู้เขียนยังคงจำได้ไม่ลืมตลอดระยะเวลาเกือบห้าปีที่ผ่านมา และคงจะไม่มีการ์ตูนเรื่องไหนพูดถึงประเด็นนี้ได้อย่างตรงไปตรงมาเทียบเท่า Rabuka (ラブカ) ของ อินิโอะ อาซาโนะ (Inio Asano) อีกแล้ว

ผู้เขียนเชื่อว่าเมื่อเอ่ยนามของอาซาโนะขึ้นมาในวงสนทนาการ์ตูนญี่ปุ่น ใครหลายคนน่าจะรู้จักชื่อเสียงกิตติศัพท์ของเขาดีในฐานะนักเขียนมังงะเกี่ยวกับ “ความหว่าเว้ว่างเปล่าของชีวิตหนุ่มสาว” ได้โหดร้ายและ “เศร้าตับพัง” เป็นที่สุด ซึ่งก็เป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงเลยเสียทีเดียว ตัวเอกในมังงะของอาซาโนะแต่ละเรื่องไม่ว่าจะเป็น ฝันดีนะปุนปุน (おやすみプンプン: แปลและจัดจำหน่ายโดยสำนักพิมพ์ NED Comics) A Girl on the Shore และ Solanin ล้วนแล้วต่างดิ้นรนกระเสือกกระสนเป็นปลาติดอวนดักเพื่อหาทางเติมเต็มความเว้าแหว่งในจิตใจของตัวเอง แต่อะไรส่งผลให้การ์ตูนสั้นความยาวเพียงแค่สิบหกหน้าอย่าง Rabuka โดดเด่นและทุกข์ระทมไม่แพ้ผลงานเรื่องอื่น ๆ ของอาซาโนะ? บทความนี้จะมาชวนผู้อ่านหวนรำลึกถึงความรู้สึกปริวิตกของชีวิตช่วงล็อกดาวน์อีกครั้งผ่านการอ่านมังงะสั้นเรื่องนี้
Rabuka (ラブカ) เริ่มด้วยใบหน้าเฉยชาภายใต้หน้ากากอนามัยของตัวเอกชายนิรนาม (ต่อจากนี้ผู้เขียนจะเรียกแทนชื่อเขาว่า “นาย A”) ยามเปิดประตูห้องพักเข้ามาเจอะรูมเมทของตัวเองกำลังพลอดรักกับหญิงสาวแปลกหน้า ด้วยอารามตกใจ หญิงสาวแต่งเนื้อแต่งตัวผลุนผลันจากไปทันทีโดยไม่ลืมที่จะพ่นคำผลุสวาททิ้งท้ายเอาไว้ ส่วนทางด้านนายรูมเมทเองก็มิวายโบกมือลาสาวเจ้าเยี่ยงทองไม่รู้ร้อน ความเฉยเมยนี้ยังคงปรากฏอยู่เป็นนิจ แอบแฝงแม้กระทั่งผ่านบทพูดตอบกลับของรูมเมทต่อคำกล่าวโทษจากนาย A เรื่องค่าเช่าห้องที่เจ้าตัวยังจ่ายไม่ครบกับการพาผู้หญิงเข้ามาหลับนอนในห้องว่า
“นายน่ะโชคดีแค่ไหนแล้วที่หาเงินได้ง่ายดายขนาดนั้น ชายแท้อย่างฉันไม่มีปัญญาไปหาเสี่ยเลี้ยงแบบนายหรอก ได้ยินมาว่าเขารวยจะตายนี่ เลียแข้งเลียขาเข้าอีกหน่อยสิจะได้มีเงินมาใช้เพิ่ม”
ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใด ๆ จากนาย A นอกจากดวงตาคล้ำหมองที่หลุบลงมองพื้น

จากนั้นเนื้อเรื่องก็ดำเนินต่ออย่างเรียบง่าย นาย A ออกไปพบปะกับ “เสี่ยเลี้ยง” ซาลารี่แมนวัยกลางคน ทั้งคู่พูดคุยกันบนโต๊ะอาหารถึงพฤติกรรมชวนละเหี่ยเพลียใจของรูมเมท บทสนทนาทั้งหมดหยุดลงเมื่อเสี่ยเลี้ยงเสนอให้นาย A อยู่ค้างคืนกับตนที่โรงแรมหรูเพื่อแลกกับเงิน
แฟนผลงานของอาซาโนะคงไม่มองว่าฉากเปิดของการ์ตูนสั้นเรื่องนี้บ้าบิ่นชวนตะลึงอะไรเมื่อเทียบกับเรื่องอื่น ๆ แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว ฉากเปิดดังกล่าวเป็นฉากที่ชวนเหงามากที่สุดฉากหนึ่งเลยก็ว่าได้ เราจะเห็นตัวละครสามตัว (นาย A รูมเมทของนาย A และหญิงสาวแปลกหน้า) อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กแคบแห่งเดียวกัน ซ้ำร้ายยังอยู่ในระหว่างประกอบกิจกรรมลึกซึ้งต่อกันด้วย ไม่ว่าจะเป็นนาย A ที่กลับห้องมาพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรังเตรียมทำอาหารเย็น และเซ็กส์ของนายรูมเมทกับหญิงสาว กระนั้นแล้ว เรากลับสัมผัสถึงความใกล้ชิดในสายสัมพันธ์ของทั้งสามคนมิได้เลย ทั้งนายรูมเมทที่ไม่ดูทุกข์ร้อนอะไรกับการกระทำของตน ทั้งหญิงสาวที่ตกลงมีเซ็กส์เพียงเพราะเบื่อการเรียนออนไลน์ ทั้งใบหน้าอิดโรย ไม่ผ่องใสของนาย A แม้นจะอยู่ในสถานะเด็กเสี่ยก็ตาม ยิ่งนึกถึงคำพูดตอบกลับของนายรูมเมทต่อนาย A ประสมร่วมด้วยแล้ว ระยะห่างไกลทางความรู้สึกระหว่างสองคนนี้ยิ่งเพิ่มมากขึ้นขัดแย้งกับสถานะพึ่งพาอาศัยที่มีโดยสิ้นเชิง
ความเฉยชาทางอารมณ์ของนายรูมเมทก็มีสาเหตุไม่พ้นจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรค เจ้าตัวโดนไล่ออกจากงาน ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าห้อง จนต้องหนีมาพึ่งใบบุญของนาย A เมื่อเปรียบเทียบกับนาย A แล้ว ตัวละครตัวนี้ช่างดูผิวเผิน เรียบแบน ไร้ตื้นลึกหนาบางเสียเหลือเกิน แต่ความรู้สึกเช่นนี้แหละคือสิ่งที่ผู้เขียนประสบเป็นส่วนใหญ่ของชีวิตช่วงล็อกดาวน์ และเชื่อว่าหลาย ๆ คนก็น่าจะมีประสบการณ์แบบเดียวกัน
แม้นจะรู้ตัวหรือไม่ แต่ความจริงอันปฏิเสธได้ยากคือสังคมกับมนุษย์เราต่างใช้ “พื้นที่” เป็นตัวกำหนดกิจกรรมและที่ทางของคนในสังคม “นักเรียน” ต้องไปเรียนที่ “โรงเรียน” “พนักงานเงินเดือน” ทำงานใน “บริษัท” “มหาวิทยาลัย” เป็นสถานที่เฉพาะของผู้มีอันจะกิน “คนไร้บ้าน” ถูกริดรอนสิทธิให้ไร้ที่อยู่เพราะไม่ได้ทำประโยชน์อันใดให้กับสังคม การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาจึงเสมือนมาทำลายการคัดสรรนี้ (แต่ในกรณีของกลุ่มเปราะบางทางสังคมอาจถูกเน้นย้ำขึ้นอีก) เมื่อเส้นแบ่งของความเป็น “พื้นที่เฉพาะ” จางหายไป ส่งผลให้เราไม่สามารถแบ่งแยกได้อีกว่าหน้าที่ของเราคืออะไร และเราอยู่ตรงส่วนไหนของสังคม

คล้ายกับกรณีของนายรูมเมท ยิ่งเราถูกบังคับให้ประกอบกิจกรรมอันไม่สอดคล้องกับพื้นที่มากเท่าใด ความแหลมคมทางอารมณ์ของเราก็ยิ่งทึ่มทื่อมากขึ้นเท่านั้น เพราะพื้นที่นั้นเกี่ยวพันกับเวลาอย่างมีนัยสำคัญ การขาดหายไปของพื้นที่ย่อมหมายถึงความคลุมเคลือทางเวลา พนักงานเงินเดือนที่ทำงานอยู่บ้านย่อมไม่มีเวลาเข้าออกงานแน่ชัด เวลาอันสมควรค่าแก่การพักผ่อนถูกหล่อรวมเข้ากับเวลาทำงานรับใช้ระบบทุนนิยมโดยสมบูรณ์ ในทางกลับกัน ความรู้สึกไร้ที่ผิดทาง สูญสิ้นคุณค่าในตัวเองก็มาจากการขาดหายไปของพื้นที่เหมือนกัน ดั่งที่ผู้เขียนรู้สึกว่าตัวเองนั้นปฏิบัติตามบทบาทของนักศึกษาได้ไม่ดีมากพอเนื่องจากเส้นแบ่งระหว่าง “เวลาเรียน” กับ “เวลาพักผ่อน” เลือนรางไป ยิ่งกับนายรูมเมทที่ถูกไล่ออกจากงานจนต้องมาพึ่งพาอาศัยเพื่อนของตัวเองด้วยแล้ว ความด้านชาของเขาก็อาจมาจากการสูญเสียที่ทางของตัวเองในสังคมเช่นเดียวกัน
ในส่วนประเด็นเรื่องความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทางอารมณ์นั้น จะว่าอาซาโนะเป็นอัจฉริยะทางด้านการเขียนบทก็ว่าได้ เทียบกับนายรูมเมทที่ใช้ชีวิตเยี่ยงเหาฉลามไล่หาเศษหาเลยจากปลาฉลามแล้ว นาย A ที่ประกอบอาชีพ “เด็กเสี่ย” ซึ่งไม่สอดคล้องกับมาตรฐานศีลธรรมอันดีงามของสังคมกลับเป็นคนหาเลี้ยงเพื่อนของเขาเสียเอง อาซาโนะกำลังจะบอกอะไรกับเราผ่านเซ็ตติ้งนี้?
เป็นจุดน่าสนใจที่ถึงแม้สังคมจะอยู่ในสภาพถูกแช่แข็งเพราะการล็อกดาวน์ อาชีพเด็กเสี่ยหรือ Sex Worker ที่นาย A ประกอบกลับมั่งคั่งอู้ฟู่ ตอกย้ำให้เห็นถึงความต้องการที่จะเชื่อมโยงผูกมัดกับใครสักคนในช่วงเวลาเปล่าเปลี่ยวนี้แม้จะเป็นแค่เพียงทางร่างกายก็ตาม เพื่อที่จะได้สัมผัสถึงการมีอยู่ของ “ใครสักคน” แล้ว เสี่ยเลี้ยงและนาย A ยอมที่จะแบกรับความเสี่ยงของการติดโรคระบาดเพื่อมาพบปะกัน กระนั้นแล้ว อาซาโนะก็ไม่ได้เล่าความสัมพันธ์นี้แบบตื้นเขินหรือ “sugarcoating” แต่อย่างใด เพราะแม้นทั้งสองจะมีความสัมพันธ์ทางกาย แต่มันก็ยังช่างดูเหงาและหว่าเว้เสียเหลือเกิน

ฉากร่วมรักของทั้งคู่ถูกวาดออกมาได้อย่างชวนกระอักกระอ่วนใจ เสี่ยเลี้ยงสำเร็จความใคร่ให้นาย A แต่สายตาของเขากลับจ้องมองเครื่องเพศของนาย A ผ่านกล้องโทรศัพท์มือถือที่กดบันทึกอยู่เพียงอย่างเดียว เลนส์กล้องทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์แทนกำแพงคั่นกลางทางอารมณ์ระหว่างทั้งสอง อาจตีความได้ว่า ถึงแม้จะกำลังประกอบกิจกรรมปลดเปลือยให้เห็นส่วนลึกซึ้งของร่างกายมากเพียงใด นาย A กับเสี่ยเลี้ยงก็ไม่อาจเชื่อมโยงผูกพันกันได้อย่างแท้จริง และยิ่งตลกร้ายชวนหัวมากขึ้นไปอีกเมื่อเสี่ยเลี้ยงเป็นคนพูดเองกับปากก่อนมีเซ็กส์ว่าเขาเข้าใจดีว่า “ความรู้สึกยิ่งใกล้ชิดยิ่งห่างไกล” เป็นเช่นไร
มิเพียงเท่านั้น เมื่อพิจารณามิติทางเพศร่วมด้วยแล้ว ความห่างไกลของทั้งคู่ยิ่งถูกตอกย้ำ สังเกตได้จากฉากที่นาย A ส่งข้อความให้เสี่ยเลี้ยงลบภาพดังกล่าวทิ้งเนื่องด้วยความหวาดระแวงว่าภรรยาของเสี่ยเลี้ยงจะมาพบเข้า เสี่ยเลี้ยงกลับบอกปัดด้วยเหตุผลเพียงว่า
“เกย์เซ็กส์ไม่ถูกนับว่าเป็นการนอกใจหรอก”
ผู้เขียนรู้สึกว่าประโยคนี้เป็นประโยคชวน “เศร้าตับพัง” สิ้นดี
เพราะการที่เราจะโกรธเกรี้ยวกับอะไรสักอย่างได้ เราต้องเริ่มจากยอมรับว่าสิ่ง ๆ นั้นมีตัวตนก่อน นั่นหมายความว่า ในทัศนะของเสี่ยเลี้ยง การเป็นเกย์หรือการมีความสัมพันธ์ทางกายกับเกย์ยังไม่ถูกยอมรับว่าปรกติและมีอยู่จริงในสังคมมากพอที่จะเอามาเป็นข้อครหาของการนอกใจได้ “ความรู้สึกยิ่งใกล้ชิดยิ่งห่างไกล” ที่เสี่ยเลี้ยงมีต่อภรรยาท่ามกลางช่วงล็อกดาวน์ดันหลังให้เจ้าตัวก้าวข้ามเขตแดนมาใฝ่หาสิ่งไร้ตัวตนอย่างนาย A เพื่อสนองความกระหายของตัวเอง โดยมิทันรู้เลยว่าแนวคิดดังกล่าวกลับผลักนาย A ให้ออกจากการรับรู้ของสังคมไปมากกว่าเดิม ระยะห่างทางความรู้สึกของทั้งคู่จึงผกผันกับความใกล้ชิดทางร่ายกายระหว่างประกอบกิจกามอย่างสิ้นเชิง
ความสัมพันธ์ระหว่างนาย A กับเสี่ยเลี้ยงจึงแทบไม่แตกต่างอะไรกับความสัมพันธ์ระหว่างนาย A กับรูมเมท แม้นสถานการณ์ล็อกดาวน์จะบีบบังคับให้พวกเขาต้องพึ่งพาอาศัยกัน แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีฝ่ายใดสามารถเติมเต็มรอยเว้าแหว่งทางจิตใจได้ ชะรอยจะยิ่งห่างไกลกันยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
กระนั้นแล้ว บทสรุปของการ์ตูนสั้นเรื่องนี้ก็มิได้โหดร้ายชอกช้ำเกินไปนัก เมื่อเสี่ยเลี้ยงแนะนำให้นาย A ตัดขาดกับรูมเมทโดยเร็วที่สุดเพราะเขาได้กลายสภาพเป็นบุคคลไร้ค่าของสังคมไปแล้ว (ถูกไล่ออกจากงาน ไม่มีที่อยู่) ทว่านาย A กลับลังเลเพียงเพราะนายรูมเมทเป็น “รักครั้งแรก” ของตัวเอง ฉากนี้อาจตีความได้ว่าแม้นสายสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเปราะบางเพียงใด สุดท้ายแล้วมนุษย์เราก็ไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่าช่วงเวลาขณะหนึ่งที่ได้ผูกพันเชื่อมโยงกับใครสักคนจริง ๆ แม้ว่าจะอยู่แค่ในรูปแบบของสำนึกคิดก็ตาม การที่นาย A กลับมาทำกับข้าวให้นายรูมเมทรับประทานอีกครั้งหลังจากประกาศกร้าวไปแล้วว่าจะเลิกทำตอนต้นเรื่อง พร้อมเอนใบหน้าเปรอะน้ำตาซบไหล่รักแรกของตัวเอง ยิ่งสื่อได้ดีว่าท่ามกลางความกระอักกระอ่วนชวนปริวิตกของชีวิตช่วงล็อกดาวน์ “ความรัก” ยังคงเป็นหนึ่งในสิ่งประกันให้เรารู้สึกว่าตัวเองยังคงมีที่ทางบนโลกใบนี้อยู่เสมอ

เมื่ออ่านมาถึงจุดนี้แล้ว ผู้อ่านคงสังเกตเห็นคำเปรียบเปรยเกี่ยวกับปลาปรากฏในบทความเยอะเสียเหลือเกิน นั่นเป็นเพราะ Rabuka ในภาษาญี่ปุ่นนั้นแปลว่า ปลาฉลามครุย (Frilled Shark) ส่วนความเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง ผู้เขียนคงทำได้เพียงพิเคราะห์ว่า เนื่องจากในวงการประมงของญี่ปุ่น ปลาฉลามครุยเป็นเพียงสัตว์น้ำพลอยได้หลงติดมากับอวนจับ ไม่มีมูลค่าทางการตลาดใด ๆ ตัวละครในเรื่องก็เช่นเดียวกัน ต่างคนต่างติดอยู่ในตาข่ายของการล็อกดาวน์ที่แบ่งแยกพวกเขาออกจากมหาสมุทรกว้างใหญ่ นาย A กับนายรูมเมทเป็นเพียงปลาฉลามครุยไร้คุณค่า ไร้ตัวตนในสังคม ที่ถูกจับพลัดจับพลูมาพึ่งพิงกันเพื่อสนองอะไรก็ตามที่แต่ละคนไม่สามารถมอบให้แก่กันและกันได้
แม้นจะเป็นเพียงการ์ตูนขนาดสั้นความยาวไม่เกินสิบหกหน้า Rabuka (ラブカ) ก็ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มเปี่ยมเทียบเทียมได้กับมังงะหนึ่งเล่มเลยทีเดียว วิธีการที่อาซาโนะใช้บอกเล่าความซึมกระทือของชีวิตในช่วงล็อกดาวน์ผ่านคำพูดและรูปวาดนั้นช่างสอดรับกันอย่างดีจนผู้เขียนต้องขอยอมรับมา ณ ที่นี้เลยว่า นี่เป็นมังงะที่อ่านจบแล้วรู้สึกเหงามากที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต
บรรณานุกรม
- Asano, Inio. Rabuka. Young Magazine (Weekly), Kodansha, 2021
- “Frilled Shark.” Oceana, oceana.org/marine-life/frilled-shark/.