กิตติศักดิ์ คงคา นักเขียนหน้าใหม่ในบรรณพิภพ มีผลงานการเขียนบ้าง แต่ไม่มาก ความพยายามหลักคือการหยัดยืนสร้างคุณค่าของตัวตนให้ทัดเทียมกับคำว่านักเขียนสักครั้ง
พระองค์กลับลงมาโปรดมนุษย์แล้ว
นั่นข้าพเจ้าทราบเป็นอย่างดีที่สุด เนื่องด้วยเลือดเนื้อเชื้อไขของข้าพเจ้าเรียกว่าผู้พิทักษ์สุสาน หากสุสานในที่นี้ไม่ได้หมายที่สถานที่สำหรับเก็บกักร่างไร้จิตวิญญาณว่างเปล่า แต่หมายถึงโลกมนุษย์ สุสานที่ครั้งหนึ่งพระองค์เคยทอดพลีชีวิตอุทิศให้ ก่อนจะกลับมาอีกครั้งก่อนการกวาดล้างครั้งสุดท้าย พระองค์ทอดกายอยู่ในกล่ององค์ทรงแก้วเหนือเนินดินอันยิ่งใหญ่แห่งลุ่มน้ำอะฎอลิบ ภายในโครงสร้างทรงสามเหลี่ยมพีระมิดเหมือนจะเท่าฟ้าเทียบตะวัน
ในทุกเช้าข้าพเจ้าจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับกินอินทผลัมสดและน้ำสะอาดหนึ่งแก้ว เดินตรงไปที่รูปวาดของพระองค์ที่ประดับไว้ทุกบ้าน ก้มทรุดตัวลงแนบพื้น วาดศีรษะบนเนินทราย ก่อนจะเริ่มต้นสวดบูชาสรรเสริญพระจริยาอย่างเป็นกิจวัตร มนุษย์ผู้ถือกำเนิดท่ามชลาพุชะกลางทรายร่วนหยาบละเอียดย่อมรู้ฐานันดรเหมาะสมจะถือครอง ประชาชน ณ ที่นี่จะเอาผ้าที่ย้อมด้วยผงจากต้นใบครามมารวบช่อไว้ให้งามสวย ผูกประดับไว้ตามขื่อเสารั้วประตู สุดลูกหูลูกตา จากลานต่ำสู่ผืนฟ้ากว้างไกล
และในระหว่างวัน วันละหนึ่งครั้ง พลเมืองผู้ประสงค์รู้ด้วยตนจะเดินทางมาวางพืชพรรณธัญญาหารอันได้จากการเพาะปลูกเพื่อแสดงถึงความแน่วแน่จริงแท้ด้วยตนเอง นั่นกล่าวถึงว่าเป็นพระดำฤษณาของพระองค์ที่จะทรงทราบวิถีสภาพความเป็นไปของมนุษย์ ผ่านกรุ่นอายโอชะของเมล็ดพันธุ์ผลิตผลแห่งชีวิต ชายหนุ่มภายใต้หมวกกะปิเยาะห์และหญิงสาวภายในเรือนร่างของนิกอบจะแห่แหนกันมาจรดเช้าจรดเย็น ข้าพเจ้าเฝ้ามองพระอาทิตย์เกิดใหม่และแตกดับสลับซ้ำไปมาทุกวี่วัน
ในความเป็นผู้พิทักษ์สุสานย่อมไม่มีพันธกิจใดยิ่งใหญ่ไปกว่าการพิทักษ์สุสานให้สงบสุข ในแง่หนึ่งคือโลกมนุษย์และในอีกแง่หนึ่งคือสถานที่อันถือสถิตแห่งเรือนร่างของพระองค์ ข้าพเจ้าและเลือดเนื้อเชื้อไขของข้าพเจ้าจะมีญาณวิเศษอันจะหยั่งทราบถึงพระวจนะที่จริงแท้อันกระซิบกระซาบกำชับสั่งมาผ่านการบดสีของก้อนหิน การระเริงร่วนของผืนทราย และการหลุบหายของสายฝน ณ ที่นั่นพระองค์จะกล่าวซ้ำไปซ้ำมาจนเหล่าข้าพเจ้าตื่นขึ้นกลางดึก จดชื่อบางคนบางใครที่ต้องหล่นหายไปในสายลม
เป็นดั่งธรรมดาของทะเลทรายที่ไม่ได้อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตทุกประเภทอยู่รอดท่ามกลางทารุณโหดร้าย ในดินแดนแห่งพระองค์ก็ใช่ ผู้ที่มีศรัทธาแน่วแน่เท่านั้นจึงสมควรได้รับการปกครอง พระองค์กระซิบแผ่วเบาถึงชื่อบางคนบางใครที่กระด้างกระเดื่องต่อต้าน ประพฤติตัวนอกรีตทำลายขนบ และหลังจากนั้นจึงเป็นเรื่องที่เหล่าของข้าพเจ้าต้องจัดการ พวกเราเรียกภารกิจนั่นว่าปัพพาชนียกรรม พวกเราจะขับไล่ออกไปเผชิญโลกโหดร้ายข้างนอกนั่น ปราศจากอ้อมกอดแห่งรักของพระองค์
ข้าพเจ้าไม่มีความเห็นนักด้านพระจริยวัตรที่ดำเนินไปอย่างสม่ำเสมอในทุกวันทุกคืนของพระองค์ ข้าพเจ้ามีเพียงหน้าที่เฝ้าจับตาความประพฤติให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามครรลองคลองธรรมเท่านั้น ข้าพเจ้ารับหน้าที่เฝ้าทางเดินขึ้นพีระมิดสูงฝั่งตะวันตก อันจะย้อมเช้าด้วยแสงตะวันรำไร ฟังสรรพสำเนียงเนิ่นช้าจำนวนนับไม่ถ้วน …ข้าแต่พระองค์ ข้าพเจ้านำกระยาหารเพื่ออุทิศแต่พระองค์มาเดินทางข้ามไปถวาย ขอท่านอะบุซะมะห์จงเปิดทาง…
ชายหญิงเหล่านั้นจะหลุบหน้าต่ำไม่สบตา เปิดกอบผ้าหรือกุบไม้ แสดงให้เห็นสิ่งที่จะยกให้เป็นพลี นั่นก็ผันแปรไปตามเศรษฐฐานะของแต่ละผู้ละเผ่า บางคนก็เป็นเพชรนิลจินดาจรัสสวย ผลิตผลจากการลงสายร่อนแร่ บางคนก็เป็นฟ่อนข้าวสาลี ผลิตผลจากพื้นที่ยังเกษตรกรรม บางคนก็อาจเป็นเพียงอินทผลัมหนึ่งเมล็ด ตามหน้าที่ข้าพเจ้าจะต้องกำชับว่าเรามอบให้พระองค์ครึ่งหนึ่ง เก็บไว้ครึ่งหนึ่ง เหล่าใครเหล่านั้นจึงเริ่มต้นร่ำไห้ ภายใต้ฮิญาบเปียกชุ่ม คร่ำครวญอยู่ใต้ภูเขาสลักหินลายวิจิตรตระการ
และชั่วราวคราวหนึ่งโศกนาฏกรรมใหญ่พัดเคราะห์มาจนถึงดินแดนห่างไกล ราวมิกสัญญีกำเนิด ทุพภิกขภัยเกิดขึ้นอย่างเชื่องช้าท่ามกลางเสียงร่ำไห้ของหยาดตะวันสุดท้ายยามอัสดง ข้าพเจ้าเห็นชายหญิงเหล่านั้นที่กอบอาหารมามอบให้สังเวยสรวงทุกวัน ร่วงร้าว ทุพพล หล่นหาย อันจะเป็นหน้าที่จริงแท้อยู่แล้วที่จะพบปะและจดจำทุกใบหน้าได้อย่างสมบูรณ์ ข้าพเจ้าจะส่งคนไปตรวจตรายังที่บ้านของเหล่าผู้หายหน้าเหล่านั้น หากจำไม่ผิดรายแรกน่าจะเป็นอิบน์ซา
อิบน์ซาเป็นเด็กหนุ่มที่รูปร่างเคยกำยำไปด้วยมัดกล้าม นั่นก็เท่าที่แสงสุรีย์รุ่งจะอนุญาตให้ข้าพเจ้าพิศ บ้านของเขาทำอาชีพเดินทางค้าขายแดนไกล ล่องลำนำขี่อูฐออกไปหลายเดือนกว่าจะกลับมา และนั่นก็จะมาพร้อมข้าวของสารพัด ตะกั่ว ผ้าไหม ดินปืน งาช้าง ข้าพเจ้าคิดว่าพระองค์ปรานีอิบน์ซาและครอบครัวมากเป็นพิเศษทีเดียว หากแต่พระองค์คงโกรธกริ้วไม่น้อย เพราะเด็กหนุ่มไม่ได้ไปถวายเครื่องบรรณาการหลายวันแล้ว
ข้ากำลังจะตาย อะบุซะมะห์ ข้ากำลังจะตาย… เสียงโหยหวนเหมือนคนไม่ได้สติของอิบน์ซาทำเอาข้าพเจ้ากระเถิบตัวออกจากเขาโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้เด็กหนุ่มมีสภาพเหมือนหนังหุ้มกระดูก ดวงตาลึกโปน ริมฝีปากแห้งแตกตกสะเก็ดสีดำคล้ำ ผมร่วงหายไปเป็นหย่อม พูดเพ้อไม่ได้ศัพท์ได้ความ ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าไปถึงเพื่อจะแจ้งโทษทัณฑ์ ข้าพเจ้าก็เปลี่ยนมาเลือกจะปิดปากเสีย สภาวการณ์ที่เขาพบดูโหดร้ายสามานย์แท้แล้วจนเหลือทน
“เจ้าไม่ศรัทธาในพระองค์จริงแท้ หากใช่ อิบน์ซา พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งใครไว้เบื้องหลัง” ข้าพเจ้ากล่าว เลื่อนมือไปเปิดผ้าม่านให้แสงส่องเข้ามาอาบทิวากาลของชีวิตอีกฝ่ายบ้าง แต่เด็กหนุ่มรีบกระถดตัวหนีราวกับหนูสกปรกเจออสรพิษร้าย ร่างกร้านนั่นขดตัวซุกอยู่มุมห้อง โหยหวนวนอีกครั้งและอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มอุทธรณ์ “ข้ามอบทุกอย่างให้พระองค์แล้ว อะบุซะมะห์” อิบน์ซาร่ำไห้แต่ไม่หยุดพูด “ข้ามอบทุกอย่างที่ข้ามีให้พระองค์”
“เจ้าโกหก” / “ข้าไม่ได้โกหก” ข้าพเจ้าปรามาสและเขาโต้แย้งมาในทันที “วันแรกที่ข้ากลับมาถึงข้าตรงไปมอบงาช้างที่งามที่สุดจากยะรังให้พระองค์ วันที่สองข้านำผ้าไหมจากหนานจิงไปถวาย วันที่สามข้าอุทิศดีบุกที่ได้จากการแลกชีวิตอูฐของข้าที่พาราณสี” ข้าพเจ้าเรียบฟังนิ่ง “แต่เจ้าก็ไม่ได้ปวารณาตัวเป็นสาวกอย่างจริงแท้” อิบน์ซาดวงตาเบิกโพลงทันทีที่ได้ยิน “ข้าเป็น อะบุซะมะห์ ข้าเป็น ข้ามอบทุกอย่างให้พระองค์แล้ว มอบจนหมด จนไม่เหลืออะไรไว้ยาท้อง ยาชีวิต ยาสังขารที่ผุพังจากการอุทิศชีวิตให้พระองค์”
ข้าพเจ้ายังไม่ทันได้ทำอะไรต่อ อิบน์ซาก็ก้มลงฟุบหน้าลงกับเตียง ร่างกายกระตุกอย่างแรงสองถึงสามครั้ง ก่อนจะกลายเป็นนิ่งสงบ ข้าพเจ้าเดินตรงเข้าไปอย่างหวาดหวั่น พลิกตัวเด็กหนุ่มหงายขึ้น ดวงตาปูดโปนนั่นจ้องเขม็งแต่ไม่เคลื่อนไหว ข้าพเจ้าค่อยนำนิ้วไปอังที่ปลายจมูกของเขา ปราศจากสัญญาณชีพแล้ว ข้าพเจ้าตราความว่า อิบน์ซาได้จากพวกเราทุกคนไปแล้ว ท่ามกลางความสงบ ภายใต้อ้อมกอดแห่งความกรุณาสาธารณ์
หากแต่ข้าพเจ้าก็ไม่อาจสลัดหลุดการตายของอิบน์ซาต่อหน้าต่อตาให้หลุดไปจากห้วงสำนึกได้ ข้าพเจ้าหันไปมองพีระมิดสูงเสียดสวรรค์นั่นหลายต่อหลายครั้งในห้วงวัน จัดสรรให้ผู้คนหลายร้อยหลายร้อยร้อยไหลบ่าไปเพื่อสักการะยังพระวิญญูผู้บริสุทธิ์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ผู้คนผ่ายผอม มือแห้งเกร็งกำพืชผักเหี่ยวจนแทบไม่เหลือชีวิต ทั้งในรอยกอบและผู้ถือครอง ศรัทธาแหว่งวิ่นโคจรซับซ้อนไต่ไปตามดินกรัง ไหล่พีระมิดแคบ ดั่งเขาวงกตแห่งความเยาว์วัยอันไร้หนทางหลีกหนี
ก่อนจะตัดสินใจเมื่ออัสดงสุดท้ายมาถึง ข้าพเจ้าเดินตรงขึ้นไป ท่ามกลางทางเดินเงียบเปล่า ปลายทางคือโลงแก้วมลังเมลืองที่ประดิษฐานไว้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวชูใจทุกคนในอาณากว้างให้เป็นหนึ่ง ข้าพเจ้ากวาดตามองไปรอบ เหล่าผู้พิทักษ์สุสานกลับเหย้าเรือนไปสิ้นแล้ว เมื่อเห็นว่าปลอดคนจึงตัดสินใจออกแรงผลักเคลื่อนฝาโลงจนเห็นข้างในชัดเจน ลมหายใจของข้าพเจ้าแทบขาดห้วง นี่คือสิ่งที่ไม่เคยเห็น หากแต่ปรารถนาจะเห็นมาทั้งชีวิต แต่เมื่อในสิ้นสุด ทุกอย่างก็ระเหิดแห้งหายไปในความมืดดำ
พระองค์คือความว่างเปล่า…
และข้าพเจ้าได้ยินชื่อตนเองโหยหวนมาตามความเงียบงัน