เรื่องสั้น ยลรดี ของ นิวัต พุทธประสาท เล่าเรื่องชีวิตประจำวันของหญิงสาวพนักงานเสิร์ฟร้านเบียร์ไม่มีชื่อแห่งหนึ่ง เพื่อนร่วมงาน และชีวิตรักครั้งใหม่ที่ทำให้เธอทั้งรู้สึกรักหรือชัง ด้วยเนื้อเรื่องที่เรียบง่ายและภาษาที่ไหลลื่นจะนำพาผู้อ่านให้พบความสุขและทุกข์ของยลรดี
ผมไม่ได้เขียนเรื่องสั้นมาร่วมสองปีแล้ว นิยายไม่ต้องพูดถึง แม้จะมีแผนที่จะเขียนแต่ก็ยังไม่ได้เริ่มลงมือเป็นชิ้นเป็นอัน แต่อยู่มาวันหนึ่งผมคิดว่าควรจะเขียนเรื่องสั้นสักเรื่อง โดยตั้งใจว่าจะเขียนให้จบภายในวันเดียว การตั้งข้อแม้ให้ตัวเองอาจจะเป็นวิธีการหนึ่งที่ดีก็ได้ ว่าแต่ผมจะเขียนถึงเรื่องอะไรดี นอกจากเรื่องต่อไปนี้
ร้านเบียร์แห่งหนึ่งไม่มีชื่อตั้งอยู่ในย่านถนนข้าวสาร อาจจะเรียกถนนข้าวสารก็คงไม่เต็มปากนัก เพราะห่างจากถนนข้าวสารมาหลายร้อยเมตร แต่ก็ยังเป็นย่านที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาพักอาศัยกันจำนวนมาก มีทั้งโรงแรม เกสต์เฮาส์ ทั้งใหญ่และเล็กสอดแทรกอยู่ตามซอยต่างๆ มากมาย
ที่ร้านเบียร์ไม่มีชื่อมีสาวเสิร์ฟคนหนึ่ง ที่ผมไม่รู้ว่าทำไมเธอมาทำงานที่นี่ เธอชื่อว่ายลรดี อายุของเธอน่าจะสี่สิบกว่าๆ หรือมากกว่านั้น ผมไม่ทราบอายุที่แท้จริงของเธอ และไม่เคยถามเธอตรงๆ เพราะดูจะเป็นการเสียมารยาทเกินไป สำหรับผมแล้วเธอเป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง ถ้ามีคะแนนเต็มสิบ ผมให้เธอระดับแปด แล้วนั่นทำให้ผมอดจินตนาการถึงวัยสาวของเธอว่าจะสวยหวานขนาดไหน ด้วยใบหน้าที่ขาวใส มีน้ำมีนวล ดวงตาใสกระจ่าง จมูกโด่ง ผมเดาว่าเธอคงดูแลสุขภาพ และผิวของเธอมาอย่างยาวนาน
เวลาที่เห็นเธอยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์บาร์หน้าเครื่องกดเบียร์สด ทำให้ผมคิดถึงเสมอว่าจะเขียนให้เธอเหมือนตัวละครในเรื่องใดที่ผมชื่นชอบดี ผมยาวของเธอถูกมัดขึ้นไปเป็นจุกคล้ายทรงดอกบัว เหมือนที่สาวๆ ยุคนี้ชอบมัดกัน ทำให้เธอคล้ายดารานักแสดงคนหนึ่งที่ผมนึกชื่อไม่ออก แต่ลูกค้าในร้านที่มาดื่มบ่อยๆ มักจะเรียกเธอว่า “ดารา” ซึ่งอาจจะหมายถึงใครก็ได้ที่พวกเขาคิดถึง จนบางครั้งผมก็เรียกเธอว่าดาราไปด้วย แต่ด้วยความสัตย์จริงผมอยากเรียกเธอด้วยชื่อเล่นจริงๆ ของเธอมากกว่าสมญาที่ลูกค้าตั้งให้
นอกจากยลรดีแล้วร้านเบียร์ไม่มีชื่อยังมีสาวเสิร์ฟอีกคนคือมาลี มาลีอายุอ่อนกว่ายลรดีหลายปี อาจจะห่างกันถึงสิบห้าถึงสิบหกปีด้วยซ้ำ แต่ทั้งสองคนแตกต่างกันมาก มาลีจะเป็นคนอวบขาว ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ชอบย้อมผมสีทอง นุ่งกางเกงยีนขาสั้น พูดง่ายๆ คือเป็นคนที่ดูจะป้ำๆ เป๋อๆ นิดหน่อย แต่เรื่องฝีปากมาลีแทบไม่เป็นรองใคร
ก่อนหน้านั้นร้านเบียร์ไม่มีชื่อเคยมีสาวเสิร์ฟอีกคน ผมไม่แน่ใจว่าเธอชื่ออะไรกันแน่ ระหว่างนาระ หรือโนริ เธอมาอยู่ช่วงสั้นๆ เป็นสาวเสิร์ฟที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวหนุ่มๆ ได้ไม่เบา นอกจากจะมีหน้าอกที่ใหญ่แล้วยังมีใบหน้าที่สวยด้วย เธอยังบริการนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยการแนะนำเมนูอาหารได้ดี จนทำให้ร้านมีรายได้เพิ่มขึ้น
ตอนพบเธอครั้งแรก เธอดูเหมือนคนญี่ปุ่นพูดภาษาไทยไม่ได้ เธอสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งๆ ผมเคยถามว่าเธอมาจากที่ไหน เธอก็ไม่ตอบ จนผมคิดไปเองว่าเธอคงเป็นคนญี่ปุ่นจริงๆ แต่พอผมถามยลรดีหรือมาลี ทั้งสองตอบไม่ตรงกัน คนนึงบอกว่านาระมาจากญี่ปุ่น แต่อีกคนบอกว่าโนริเป็นคนฟิลิปปินส์ แล้ววันหนึ่งเธอก็มีแฟนเป็นคนอเมริกัน โนริหรือนาระแล้วก็ลาออกจากร้านไปเลย ผมพบเธอครั้งสุดท้ายเมื่อปีก่อน แล้วไม่เคยพบกันอีกเลย
แม้ยลรดีกับมาลีจะทำงานร้านเดียวกัน แต่รายได้และค่าทิปแตกต่างกันมาก ช่วงหกเจ็ดเดือนที่ผ่านมาเศรษฐกิจไม่ดี บางวันร้านเงียบเหงา ไม่มีทั้งลูกค้าต่างชาติและคนไทย หลายคนก็พูดตรงกันว่าคงเป็นเพราะรัฐบาลทหารไม่ยอมจัดการเลือกตั้งเสียที เอาแต่เลื่อนเลือกตั้ง งบประมาณไม่ลงมาถึงประชาชนระดับล่าง
นักท่องเที่ยวที่มามีแต่คนรายได้น้อย ไม่ค่อยจ่ายเงิน เศรษฐกิจก็เลยแย่ แม้จีดีพีจะสูงขึ้น ยอดส่งออกมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา รัฐมนตรีเศรษฐกิจออกโทรทัศน์โชว์ตัวเลข และให้สัมภาษณ์ว่า “ตัวเลขไม่เคยโกหกใคร ปีหน้าจะไม่มีคนจนเหลืออยู่สักคนเดียว” แต่อารมณ์ของประชาชนไม่เคยรู้สึกว่าเงินในกระเป๋าไม่เคยเพิ่มขึ้น รายจ่ายมากขึ้นทุกวัน บางเดือนจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ เหลือเงินไม่กี่บาท หรือพวกเขาดูตัวเลขจีดีพีแล้วไม่ต้องทำอะไรกันเลย ปล่อยให้คนระดับล่างๆ ตายไปจนหมด
เมื่อเศรษฐกิจไม่ดีร้านเบียร์ไม่มีชื่อก็เลยหันมาเปิดขายอาหารเช้ากับกลางวันเพื่อหวังมีรายได้เพิ่มขึ้น มาลีถูกย้ายให้ทำช่วงเช้าจนถึงบ่าย ส่วนยลรดีทำช่วงบ่ายเย็นจนถึงเที่ยงคืน เป็นเพราะยลรดีรู้เรื่องเบียร์ดีกว่า เธอสามารถแนะนำเบียร์ยี่ห้อต่างๆ ให้ลูกค้าได้
การที่ร้านเบียร์ไม่มีชื่อตั้งอยู่ในย่านนี้ ซึ่งมีมหาวิทยาลัยตั้งอยู่หลายมหาวิทยาลัย ในร้านจึงมีพวกปัญญาชนเข้ามานั่งดื่มบ่อยๆ แล้วพวกเขาชอบให้พนักงานสวยๆ มาแนะนำเบียร์แต่ละตัวว่ามีสรรพคุณอย่างไร กลิ่นแบบไหน รสชาติเป็นอย่างไร ตัวไหนเหมาะกับพวกเขา ซึ่งยลรดีทำได้ดีกว่า
ช่วงที่ต้องเปลี่ยนเวรกันก็คือช่วงบ่ายสามโมงซึ่งผมชอบไปในช่วงเวลานั้น มาลีก็มักจะมาพูดให้ผมได้ยินว่า ค่าทิปตอนช่วงเช้าถึงบ่ายมีไม่ถึงยี่สิบบาท ส่วนทิปตอนกลางคืนบางคืนเกือบพัน ผมจึงถามว่าแล้วทำไมไม่รวมกันแล้วหารแบ่งกันละ พอถามขึ้นมาแบบนั้นแล้วมาลีก็เดือดขึ้นมาทันใด เธอไม่ได้ตอบเหตุผล แต่เห็นได้ชัดว่าทางฝั่งกลางคืนก็คงไม่อยากหารให้กับพนักงานภาคเช้า ความขัดแย้งแบบนี้ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำให้อารมณ์ทั้งคู่เป็นอย่างไร แต่ดูเหมือนว่าถ้าไม่มีเรื่องเงินค่าทิปแล้วทั้งสองคนก็พอจะทำงานด้วยกันได้อย่างดี
เรื่องรายได้กลายเป็นปัญหาที่เก็บเงียบของคนทั้งสอง เศรษฐกิจแบบนี้พวกเธอบริหารการเงินกันแบบระมัดระวัง ใช้จ่ายประหยัด ซื้อของจากร้าน 20 บาท เข้าห้างวัตสันซื้อชิ้นที่สองจ่ายหนึ่งบาท หรือซื้อกระดาษชำระสองแพคใหญ่ๆ เพื่อใช้ทั้งปี เงินเล่นแชร์ เงินบัตรอีออน เงินบัตรเครดิตร ควักจากกระเป๋าซ้าย เข้ากระเป๋าขวา จ่ายดอกเบี้ยที่ค่อยๆ สูงขึ้นจนเกินเงินต้น ยลรดีไม่รู้สึกอับอายในเรื่องนี้ เธอกลับยืดอก เธอผ่านช่วงวิกฤตการเงินมานับไม่ถ้วน ช่วงสี่ห้าปีหลังเธอเก็บเงินในบัญชีได้พออุ่นใจ อย่างน้อยก็เลี้ยงลูกจนจบปริญญาได้สำเร็จ
ชั้นสองของร้านเบียร์ไม่มีชื่อทางขึ้นจะเป็นบันไดเหล็กเล็กๆ เพดานค่อนข้างต่ำ บริเวณนี้จะเปิดก็ตอนที่นั่งด้านล่างเต็มเท่านั้น ผมไม่ค่อยได้ขึ้นไปข้างบนบ่อยนัก เท่าที่สังเกตฝรั่งก็ไม่ค่อยชอบขึ้นไปถ้าต้องนั่งโดยไม่มีแขกคนอื่น
สำหรับชั้นสองนี้เป็นที่น่าสังเกตเพราะเป็นมุมที่ยลรดีชอบมานั่งทำบัญชีเวลาไม่มีลูกค้าเข้าร้าน ท่วงท่าของเธอเวลาเขียนเลขลงบนสมุดลงบัญชีออกจะไม่เหมือนใคร มันเตะตา ดูมีเสน่ห์ ผมชอบผู้หญิงเรียบๆ ที่นั่งทำงานเงียบๆ แบบไม่สนใจคนรอบข้าง อาจเป็นความประหลาดของผมเองที่ชอบมองผู้หญิงแบบนี้

เธอทำให้งานพวกลงบัญชีดูเป็นงานง่ายๆ ที่ค่อยๆ ทำไปช้าๆ ไม่เร่งรีบ ถ้ามีลูกค้ามาขัดจังหวะเธอก็แค่เดินลงไปรับรายการอาหารแล้วกลับมาทำต่อ วนๆ ไป จนกว่าลูกค้าจะมากันเต็มร้านเธอจึงจะเก็บสมุดบัญชีแล้วกลับไปทำงานเสิร์ฟ งานอดิเรกอีกอย่างของเธอก็คือการอ่านหนังสือ ข้อแตกต่างนี้ยิ่งทำให้ยลรดีต่างจากมาลีมากทีเดียว นิยายที่เธออ่านจะเป็นงานเก่าๆ ของทมยันตี หรือไม่ก็งานของกฤษณา อโศกสิน เธออ่านนิยายวายบ้างหรือเปล่าผมไม่อาจรู้ อาจเป็นเล่มที่เธอห่อปกสีขาวที่อ่านเมื่อสัปดาห์ก่อน
หนังสือบนชั้นที่เธอทิ้งเอาไว้บางทีก็มีปกของสำนักพิมพ์มติชนบางเล่มที่เป็นงานเขียนเกี่ยวกับราชวงศ์ ซัลมอนที่เป็นหนังสือท่องเที่ยว และอะบุ๊กสี่ห้าเล่มที่ผมไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งแน่นอนไม่มีนิยายของผมเลยสักเล่มเดียว หนังสือเล่มโปรดของเธออาจจะเป็นเรื่อง Gone Girl เพราะผมเห็นเธออ่านอยู่หลายวัน แล้วยังถ่ายภาพตัวเองพร้อมหนังสือลงในโซเชียลด้วย แต่เธอบอกว่าเป็นหนังสือของลูกสาว ลูกสาวของเธอจบมหาวิทยาลัยแล้ว อ่าน 1984 มาตั้งแต่อายุสิบสอง เธอหย่าร้างกับสามีมาหลายปี แต่ก็ยังไปมาหาสู่ลูกสาว งานรับปริญญาก็ไป แล้วยังเจอสามีเก่า ถ่ายรูปออกมาเหมือนกับว่ายังรักกันหวานชื่น ไม่มีมุมไหนแสดงออกถึงความเกลียดชัง
แต่ว่าไปแล้วผมคิดว่าเธอต้องเคยอ่าน “ข้างหลังภาพ” ของศรีบูรพา หรือไม่ก็ “ปีศาจ” ของ เสนีย์ เสาวพงศ์ มาบ้าง แต่แล้วผมก็จินตนาการให้ยลรดีอยู่ในห้วงเวลาของ “ข้างหลังภาพ” เมืองญี่ปุ่น ดอกซากุระบาน ความรักของเด็กหนุ่มกับสาวสูงศักดิ์ มันคือการขบถหรือเป็นเพียงฟันเฟืองของความฝันที่คั่งค้างอยู่ในจิตใจ หรือเป็นเศษเสี้ยวของความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงจริงๆ
ห้องครัวของร้านเบียร์ไม่มีชื่อตั้งอยู่มุมร้านด้านในหลังตู้เย็น พ่อครัวทำอาหารทีไรกลิ่นจะอบอวลไปทั่วร้านเลยทีเดียว ดีที่ว่าอาหารผัดรสจัดผัดด้วยไฟอ่อน ไม่ทำให้พิษพริกกระจายทำร้ายแขกในร้าน แต่ถ้ากลับจากร้านกลิ่นมันทอด หรือไก่อบจะติดผม ติดตัวไปทุกที่
คืนหนึ่งหลังดวงอาทิตย์ตก ผู้คนนอกร้านเดินกันอย่างสงบเหมือนโลกนอนหลับ ลูกค้าในร้านก็เช่นกัน ผมเห็นยลรดีกำลังเขียนหนังสือลงในกระดาษเพียงลำพัง ผมรู้ว่ามันไม่ใช่สมุดบัญชีที่เธอใช้ลงงบประมาณของทางร้าน แต่เป็นกระดาษเปล่าธรรมดา คล้ายกระดาษจดหมาย
คนยุคนี้ไม่เขียนจดหมายกันแล้ว ผมเองเขียนนิยายก็จากคอมพิวเตอร์ สิ่งที่ผมไม่แน่ใจคือว่าเธอเขียนอะไร สีหน้าของเธอดูนิ่งเฉย ไม่ปรากฏร่องรอยใดให้นึกถึง จากนั้นเธอก็ขยำกระดาษ แล้วนำไปทิ้ง ผมใช้จังหวะที่เธอเดินไปในครัว ไปหยิบจากถังขยะมาเปิดอ่าน ดูเป็นการเสียมารยาท แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะหยิบขึ้นมาเปิดอ่าน
มันเป็นจดหมาย เขียนถึงใครสักคน ผมเดาว่าคงเป็นคนรักของเธอ หรือใครสักคนที่เธอกำลังคบอยู่ ไม่ระบุชื่อ ไม่ระบุสิ่งใด นอกจากอารมณ์ สำนวนของเธอใช้ได้ทีเดียว ผมคิดว่าเหมือนนักเขียนรุ่นเก่าๆ หลายคน และน่าจะเป็นศรีบูรพากับยาขอบผสมกันอยู่ไม่น้อย ผมจำประโยคในจดหมายได้คร่าวๆ ดังนี้
ถึงคุณ
“ฉันเกลียดความเป็นนักปราชญ์ในตัวคุณเหลือเกิน จริงๆ แล้วคนเราเมื่อยังไม่ได้ดังสิ่งที่ต้องการ ก็ทะเยอทะยานอยากไขว่คว้ามาได้ เมื่อได้มาแล้วก็ทิ้งขว้างเหมือนเศษของเหลือใช้ ไม่ต่างเสื้อผ้าเก่าๆ เบื่อหน่ายหนักหนาก็ทิ้งเอาไว้ให้เดียวดายในตู้เสื้อผ้า แม้คิดจะหยิบมาลองสวมยังเมินเฉย แล้วจะเอาอะไรกับเรื่องความรัก ความผูกพัน หรือการแต่งงานด้วยกันละคะ แน่นอนหลายคืนมานี้ฉันอดคิดถึงคุณไม่ได้ ใบหน้า สันจมูก ริมฝีปาก คำออเซาะที่โปรยออกมา กลิ่นกายยามที่เคียงใกล้ ใครจะคิดว่าหนุ่มใหญ่อย่างคุณจะทำให้สาวแก่อย่างฉันสะทกสะท้านได้เพียงนี้
คุณห้าสิบแล้วแต่ยังหวานปานน้ำผึ้ง ส่วนฉันจะผ่านวัยสาวสะพรั่งจนบางคนเอาคานทองมารอ แต่ฉันก็ยังไม่ยอมแพ้หรอก สมัยนี้เราต่างก็ทราบดีว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข ไม่มีความหมายหรือมีผลต่อความรักจริงไหมคะ
พอได้พบคุณชีวิตของฉันจึงเปลี่ยนไป แม้จะเปลี่ยนไม่มากพอที่คนรอบข้างจะจับผิดสังเกต แต่เชื่อเถอะ คุณทำให้ฉันหวั่นไหวได้เหมือนสาวแรกรุ่น ความสั่นไหวนี้ทำให้ฉันไม่สามารถใช้ความคิดเท่าที่ฉันจะมีได้ คุณรู้ว่ามันคงทำให้หัวใจของฉันตะเพิดไปไกลแค่ไหน
ฉันจะบอกลูกสาวว่าแม่ของเธอเจอคนรักใหม่แล้วล่ะหรือ เราสองคนจะคบกันแบบลับๆ ล่อๆ กลางคืนนั่งพลอดรักกันแต่ในห้องหับ ไปดูหนังดูละครด้วยกันที่โรงหนังไม่มีคนดู ไม่จับมือถือแขน ไม่โพสต์ภาพลงในอินสตาแกรม หรือเฟสบุ๊กเหมือนคู่รักทั่วไป ไม่ไปร้านโปรดที่คุณจะเจอเพื่อนฝูง เราจะอยู่กันไปแบบนี้หรือคะ
หรือมันเป็นยถากรรมของฉันที่ได้มาเจอคุณ แล้วถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ มันคงหนักหนาสาหัสสำหรับฉัน และเกินจะแบกรับไหวในความสัมพันธ์ที่ต้องเก็บเอาไว้เพียงเราสองคน“
เป็นเรื่องนี้จะไม่สมบูรณ์แน่ถ้าผมไม่เล่าถึงอภิสิทธิ์
ปกติผมจะเรียกอภิสิทธิ์ว่าอาจารย์ แม้เขาจะไม่ใช่อาจารย์จริงๆ แต่คนส่วนใหญ่ก็เรียกกันแบบนั้น อาจารย์อภิสิทธิ์มาที่ร้านเบียร์ไม่มีชื่อสองสามครั้งแล้ว เขาจะมาช่วงดึก สามทุ่มหรือสี่ทุ่ม ดื่มซานมิงโกแก้วนึง เบียร์สิงห์แก้วนึง ใบหน้าของเขาเรียบเฉยออกจะเคร่งขรึมคล้ายใบหน้านักปรัชญา สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวผ้าฝ้ายไม่รีดจึงทำให้เสื้อดูยับๆ แต่ดูเท่ไม่หยอก แล้วกลายเป็นอัตลักษณ์ของเขาไปในช่วงหลัง เพราะดูเซอร์ๆ เหมือนคนไม่สนใจโลก แต่มีสไตล์ที่เฉียบคม
ตอนแรกผมคิดว่าเขาเป็นศิลปิน เพราะมีความรู้ทางด้านศิลปะเป็นอย่างมาก เขาเลือกเฟ้นถ้อยคำสำแดงออกได้อย่างทรงพลัง ถ้าอยู่ต่อหน้าสาวๆ เขาคือกวีอย่างไม่ต้องสงสัย ผมทราบมาว่าเขายังนิยมปรึกษาชีวิตส่วนตัวหลังไมค์กับใครต่อใคร ผ่านโปรแกรมเมสเสส ไลน์ และหลายคนก็ชื่นชอบคำปรึกษาของเขาเสมอ หรือพูดให้ตรงประเด็นคือหลงรักเลยทีเดียว
ผมเข้าใจว่าในยุคนี้การที่เราจะได้คุยกับนักปราชญ์ไม่ใช่เรื่องง่ายหรือเรื่องยาก และอาจารย์อภิสิทธิ์อาจจะเรียกได้ว่าเขาอยู่แนวหน้าเลยทีเดียว
มีคนเคยเล่าว่าเขาเคยไปเรียนที่อเมริกา ทำงานในนิวยอร์กอยู่หลายปี แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาโด่งดังเท่ากับการแปลบทความเกี่ยวกับศิลปะและเศรษฐศาสตร์ ที่ว่าด้วย “ตัวตน กับ ศิลปิน” ของ ซาบุโระ ชิน นักเขียนอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลก งานของเขาเป็นผลงานร่วมยุคสมัยเล่ม หนังสือชองชินขายดีนับสิบล้านเล่มจากทั่วโลก และแปลไปหลายสิบภาษา แม้แต่โอบามายังเคยแนะนำให้อ่านผ่านทวิตเตอร์ของเขาหลังออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี โอบามากล่าวว่า
“ถ้าคุณต้องการเข้าใจโลก และทุนนิยมกำลังเดินทางไปในทิศทางไหน ชิน มีคำตอบให้กับโลกสมัยใหม่ นั่นคือการเรียนรู้อย่างสันติ”
บางวันอาจารย์อภิสิทธิ์ก็มากับลูกศิษย์ของเขาสองสามคน การถูกห้อมล้อมด้วยญาติธรรมยิ่งทำให้เขากลายเป็นดาวเด่นคนสำคัญ ทุกเรื่องที่เขาพูดจึงมีเสน่ห์เสมอ ผมอาจจะบอกได้ว่าไม่มีครั้งใดที่ผมจะไม่อิจฉาเขา และพยายามที่จะไม่พูดถึงเขามากนัก

ผมไม่ประหลาดใจเลยที่อาจารย์อภิสิทธิ์กับยลรดีจะรักกัน มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่อาจารย์มาที่ร้าน ยลรดีจะต้องมาชวนเขาคุยเรื่องโน่นนี่นั่นไม่ว่าจะเป็น เรื่องราวประวัติศาสตร์ ปรัชญา ความรัก และปัญหาทางสังคม ผมสังเกตความเปลี่ยนแปลงได้ไม่ยาก
สิ่งที่ผมจินตนาการได้ไม่ยาก วันหยุดของเธอกลายเป็นวันที่เธอไม่ต้องนอนอยู่ในห้องคนเดียวเพื่ออ่านหนังสือ หรือทำความสะอาดห้องน้ำตามลำพัง หรืออย่างแย่สุดคือไปดูหนังคนเดียว โดยค่อยๆ หยิบป๊อปคอร์นทีละชิ้นเข้าไปในปาก หนังน่าเบื่อแค่ไหนก็ทนดูต่อจนจบเรื่อง หนังจบแล้วลุกออกจากโรงเป็นคนสุดท้าย ปล่อยให้วันหยุดผ่านไปช้าๆ เงียบๆ ช่วงหลังเธอรับนัดอาจารย์อภิสิทธิ์ไปดูหนัง หรือละครเวทีที่จัดแสดงที่หอศิลปะ บางครั้งเขาก็ได้บัตรฟรี แม้ทั้งสองจะไม่เปิดเผยตัวตนของการคบหาสมาคมกัน ซึ่งในข้อนี้ผมไม่สามารถพูดได้ว่าใครกันแน่ที่ไม่อยากจะเปิดเผยสถานะของตน
บางทีผมก็ได้ยินมาว่าพวกเขาดูละครเรื่องเดียวกัน แต่นั่งคนละที่ พอละครจบบรรดาสานุศิษย์ก็มักจะจองตัวไปกินดื่ม เพื่อพูดคุยถึงละครที่เพิ่งดูจบไป เธอตามไปเหมือนสานุศิษย์ธรรมดาคนหนึ่ง พวกเขานั่งล้อมวง คุยกันถึงตัวละครเอก สัญลักษณ์ของบทละคร และเรื่องราวทางการเมือง เมื่อถึงเวลากลับ เธอจ่ายเงินให้กับค่าเครื่องดื่มให้กับตัวเอง และออกให้อาจารย์อภิสิทธิ์ เขาไม่เคยไปส่ง หรือขั้นดีที่สุดก็แค่บอกว่าพรุ่งนี้ต้องไปต่างจังหวัด
อาจารย์อภิสิทธิ์เป็นคนที่ปลุกเชื้อไฟความฝันให้กับยลรดี เชื้อไฟนี้ทำให้เธอรู้สึกได้ว่างานในร้านเบียร์ไม่มีชื่อไม่น่าเบื่อเกินไป หรือการที่เธอมีชีวิตเดียวดายมายาวนานนั้นก็มีทางออกมากขึ้น การได้ใกล้ชิดกับนักปราชญ์ หรือกวีเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่เธอใฝ่ฝันถึง ตลอดชีวิตเธอไม่เคยคิดว่าจะได้เจออะไรแบบนี้ อย่างน้อยสุดเธอก็คงแค่สาวเสิร์ฟในร้านเบียร์คนหนึ่ง ความฝันเวลาที่เธออ่านงานของทมยันตีก็ไม่ได้ทำให้เธอกลายเป็นนางเอกในนิยายไปได้
คืนหนึ่งที่แสงไฟจากริมถนนยังคงสาดเข้ามาสู่ประตูร้าน ลูกค้าชาวต่างชาติที่มากินกันช่วงหัวค่ำค่อยๆ ทยอยออกไป อาจารย์อภิสิทธิ์มาดึกกว่าปกติเล็กน้อย เสื้อเชิ้ตสีขาวยับๆ เขาแบกกระเป๋าเป้อัดแน่นด้วยของใช้และหนังสือ ยลรดีอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ มันเป็นค่ำคืนที่ร้านอบอวลด้วยกลิ่นผัดไทย น้ำมันทอดเฟรนซ์ฟราย และคาโบนาร่ากุ้ง เขายังสั่งเครื่องดื่มเช่นเคยซานมิงโก ต่อด้วยเบียร์สิงห์ ผมเห็นว่าทั้งสองคุยกันปกติ
ใกล้เที่ยงคืนแล้ว เธอเริ่มเก็บของเพื่อปิดร้าน อาจารย์อภิสิทธิ์ยังไม่กลับ เหมือนทั้งคู่นัดหมายกันไปต่อที่ไหนสักแห่ง ค่ำคืนแบบนี้ร้านต่างๆ ก็คงไม่เหลือเปิดอีกต่อไป จะมีก็แต่ร้านข้าวต้มโต้รุ่ง หรือร้านโจ๊กที่บางลำภู ไม่ใช่สถานที่โรแมนติกที่พอจะเดตกันได้ แต่ถ้าไม่ใช่วันหยุดมันก็คงเป็นแบบนี้
ทั้งสองออกจากร้านพร้อมกัน เธอปิดประตูแล้วล็อคกุญแจ ไฟของร้านปิดลงจนดับสนิท ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังบางลำภู เหมือนไม่มีจุดหมายที่แน่นอน เดินข้ามสะพานไปถึงสี่แยก กลางคืนช่างเหงาหงอยโดยแท้ เธอสวมเสื้อสีขาว คลุมช่วงคอด้วยผ้าพันคอ กระเป๋าถือเล็กใส่เครื่องสำอาง
ร้านรวงดับไฟกันหมด แสงไฟบนถนนเรื่อเรืองแสนอ่อนเยาว์ ทั้งสองเลี้ยวซ้ายตรงสี่แยก เดินตรงไปวัดบวรนิเวศน์ ซึ่งมีร้านข้าวต้มกับร้านโจ๊กให้เลือก อาจารย์อภิสิทธิ์คงจะหิวอยู่พอประมาณ เขาคงอยากกินอะไรรองท้องก่อนกลับบ้าน แต่พอเธอเห็นแสงไฟจากร้านเซเว่น เธอนึกได้ว่าจะต้องซื้อยาแก้ปวดหัวเผื่อเอาไว้คืนนี้ จึงบอกให้เขารอ เธอจะซื้อของก่อน เขาพยักหน้า ตามเข้าไปด้วย เธอเลือกยาและของใช้จำเป็นอีกสองสามอย่างแล้วก็เดินไปต่อแถวเพื่อจ่ายเงิน ระหว่างที่พนักงานกำลังยิงบาร์โค้ดสินค้า เขายื่นบิลค่าโทรศัพท์มือถือใบหนึ่งในมือให้กับพนักงาน พนักงานถามว่ารวมยอดเลยไหม เขาพยักหน้า เธอมองหน้าเขา แล้วมองดูตัวเลขบนหน้าเครื่องคิดเงิน เธอนับเงินในประเป๋า ก่อนจะจ่ายเงินทั้งหมดให้กับพนักงาน
“ขอโทษที่ทำให้ช้านะคะ” เสียงของเธอเป็นอย่างไรในตอนนั้นนะ เย็นชา เร่าร้อน หรือปกติ ถ้าผมเป็นผู้รู้ ผมคงทำให้ผู้อ่านรื่นรมย์ได้มากกว่านี้ แต่น่าเสียดายที่ผมมีมุมมองจำกัด
ทั้งสองเดินออกมาจากร้านเซเว่นฯ ผมคิดว่าควรจบเรื่องนี้ตรงนี้ ผมไม่รู้ว่าหลังจากนั้นยลรดีกลับถึงห้องคนเดียว หรืออาจารย์อภิสิทธิ์ไปส่งเธอที่ห้อง ผมรู้ว่าถ้าเธอเคยอ่านศรีบูรพามาบ้าง เธอคงต้องเคยอ่านเรื่อง “แสนรักแสนแค้น” บ้างสักครั้งสองครั้ง
แน่นอนถ้าเธออ่านนิยายเรื่องนี้ก็คงจดจำตัวละครอย่างโพยม-จุไร พอได้ จุไรผู้หญิงสาวเจ้าชู้วัยสิบเจ็ดแสนสวยหักอกโพยมอดีตคนรักไปแต่งงานกับเจ้าเมืองแก่ๆ ด้วยเหตุผลว่าเจ้าเมืองแก่คงทำให้เธอสบายได้ทั้งชีวิต ถ้าผมเป็นผู้หญิงสวยผมอาจจะเลือกทางนี้ก็ได้
พโยมเก็บความแค้นเอาไว้สุมอก โดยวางแผนที่จะฆ่าเธอให้ตายแต่ไม่สำเร็จ จนในที่สุดเขากลับมาล่อลวงเธอให้ตกหลุมรักอีกครั้ง เขาต้องการแก้แค้นให้สาสม
ถ้ายลรดีไม่อยากมีชะตากรรมเดียวกับจุไรผู้น่าสงสาร เธอก็คงเข้าใจเรื่องราวของความรักที่โพยมสร้างขึ้นในช่วงหลังของนิยายได้บ้างว่ามันไม่ใช่ความจริง หากไกลจากความรักจริงๆ ไปมาก แต่เป็นเพียงความลวงที่จะทำให้เธอหลงลวงในความฝัน เอาจริงๆ คนเรามักมองไม่เห็นความทนทุกข์ในขณะที่มีความรัก ความรักเป็นพลังงานบางอย่างที่สามารถเหวี่ยงผู้คนไปได้ด้วยพลังมหาศาล
อย่างไรก็ตามแม้ผมอยากให้เรื่องนี้จบลงอย่างเศร้าสร้อยเพียงไร ก็ไม่อาจหาได้ ผมคิดว่าคงต้องปล่อยให้เรื่องราวดำเนินไปตามที่มันควรเป็น แน่นอน แม้ว่ามันจะทำให้ผมโดนสับจนเละ แต่จะเป็นอะไรไป การเขียนเรื่องสั้นที่ไม่มีบทสรุปก็เหมือนการฆ่าตัวตายดีๆ แบบหนึ่ง ในโลกนี้ไม่มีอะไรสวยงามไปเสียทั้งหมด ผมพบเธออีกครั้งในสัปดาห์ต่อมาที่ร้านเบียร์ไม่มีชื่อ ผมไม่รู้ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ผมไม่รู้จริงๆ
8 กันยายน 2561
ภาพประกอบโดย ลิปดา