Table of Contents
ในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับสังคมนักอ่านมากขึ้น จนทำให้หนังสือซึ่งเคยเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่เข้าถึงง่ายนั้นค่อยๆ ลดจำนวนลง อีกทั้ง ร้านหนังสืออิสระ น้อยใหญ่อันเคยมีให้เห็นมากมายตามเมืองต่างๆ ทยอยปิดตัวลงจากการที่หนังสือรูปเล่มถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์อย่าง E-book จึงทำให้การได้ใช้ช่วงเวลาในการอ่านหนังสืออย่างสงบท่ามกลางบรรยากาศกลิ่นอายของหน้ากระดาษแบบเก่าค่อยๆ หายไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้น ก็ใช่ว่าร้านหนังสือจะหายสาบสูญไปเสียทีเดียว เมื่อสังคมและกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้พวกเขาเหล่านี้ต้องปรับตัว จากความรักและแรงผลักดันได้สร้างบรรยากาศอันแสนคุ้นเคยเพื่อที่จะกลายเป็นแหล่งรวมเหล่าผู้ชื่นชอบในหนังสือเอาไว้อีกครั้ง ในวันนี้พวกเราจึงจะขอนำเสนอ 4 ร้านหนังสืออิสระ ที่ยืนหยัดท่ามกลางกระแสที่เชี่ยวกรากของเศรษฐกิจอันได้แก้ร้าน Rare Finds Bookstore and Cafe / กลิ่นหนังสือ / Fathom Bookspace / บทต่อไป ร้านเหล่านี้มีหนังสือเล่มอันน่าสนใจพร้อมเปิดให้บริการแก่นักอ่านทุกท่านได้ร่วมค้นหาและแวะเวียนไปใช้บริการ
1. Rare Finds Bookstore and Cafe
มาเริ่มต้นบทความกันด้วยร้านหนังสืออิสระร้านแรกอย่าง “Rare Finds Bookstore and Cafe” สถานที่ที่เป็นมากกว่าร้านหนังสือซึ่งจะทำให้คุณตกหลุมรักกับบรรยากาศอันแสนอบอุ่น สามารถนั่งอ่านหนังสือได้ชิลๆ พร้อมจิบกาแฟไปด้วย เรียกได้ว่าต้องถูกใจเหล่าคอหนังสืออย่างแน่นอน โดยก่อนหน้านี้เมื่อปีที่แล้วมีการเปิดร้านที่กรุงเทพฯ จนปัจจุบันได้ย้ายมาอยู่เชียงใหม่ ซึ่งจะเปิดให้บริการครั้งแรกในวันที่ 3 มีนาคม 2566 นี้
คุณเอิร์ธ และ คุณโฟมมี่ เดิมทีเป็นติวเตอร์สอนภาษาอังกฤษด้วยกัน ซึ่งรับติวมาตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนอยู่ จนปัจจุบันนี้ก็ยังคงเป็นติวเตอร์พร้อมกับเปิดร้านหนังสือ ทั้งสองคนเรียนจบวรรณคดีอังกฤษมาเหมือนกัน ได้เรียนและอ่านหนังสือมาตลอดจนเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิต แนวคิดนี้จึงทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจที่จะช่วยกันเปิดร้านหนังสือแห่งนี้ขึ้นมา โดยจุดเด่นของร้านนี้คือ มีเจ้าของร้านอยู่ตลอดเวลา ทางร้านจึงใช้วิธีการพูดคุยเพื่อแนะนำสินค้าเป็นหลัก ถ้าคุยตัวต่อตัวก็จะสามารถแนะนำหนังสือได้ตรงความสนใจของคนอ่าน เนื่องจากมีหลายครั้งที่หลายคนไม่รู้ตัวมาก่อนว่าอยากอ่านอะไร ทำให้ร้านนี้มีความหลากหลายในการค้าขายและสร้างเสน่ห์ดึงดูดให้คนเข้ามาหา
อีกทั้งการตกแต่งของร้านก็เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ดึงดูดลูกค้าให้เข้ามา ด้วยการออกแบบร้านเป็นสไตล์โฮมมีหรือวินเทจ เน้นธีมสีขาว-น้ำตาล-เขียวเป็นหลัก มีมุมถ่ายรูปสวยๆ ที่สามารถนั่งอ่านหนังสือได้ชิลๆ และดื่มด่ำไปกับบรรยากาศอันอบอุ่นชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย รวมไปถึงเครื่องดื่มที่จะชวนให้เพลิดเพลินและหลงใหลไปกับกลิ่นหอมแสนเย้ายวนของเมล็ดคั่วชั้นดีและรสชาติอันกลมกล่อมของกาแฟ ทำให้ใครหลายคนที่ได้มาเยือนครั้งหนึ่งแล้วจะต้องแวะเวียนกลับมาอีกครั้งเพราะติดใจอย่างแน่นอน
หมวดหนังสือในร้านส่วนใหญ่จะเป็นวรรณกรรมไทย วรรณกรรมแปลสากล และหนังสือภาษาอังกฤษ เพราะเป็นด้านที่คุณเอิร์ธและคุณโฟมมี่เรียนมาโดยตรง ส่วนมากเป็นหนังสือที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักหรือตามกระแส โดยจะสั่งและนำเข้ามาจากต่างประเทศ เช่น ความเชื่อของชนพื้นเมืองของพื้นที่ต่างๆ และหมวดที่อยากแนะนำให้อ่านกันเป็นพิเศษ คือ วรรณกรรมสิ่งแวดล้อม
สุดท้ายนี้ สิ่งที่คุณเอิร์ธและคุณโฟมมี่อยากจะฝากไว้ก็คือ อยากให้ทุกคนสนับสนุนร้านหนังสืออิสระกันเยอะ แน่นอนว่าร้านหนังสือเล็กๆ อาจจะไม่ได้มีตัวเลือกเท่ากับร้านใหญ่ๆ มากนัก แต่จะเป็นรากฐานของวัฒนธรรมการอ่านที่ช่วยให้ผู้อ่านและชุมชนสามารถใกล้ชิดหนังสือมากขึ้น ยิ่งมีร้านหนังสืออิสระอยู่ในหลายๆ พื้นที่ของจังหวัดโดยไม่ได้กระจุกอยู่แค่ในเมืองใหญ่ นักอ่านก็จะยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย ทั้งหมดนี้จะกลายเป็นตัวชี้วัดถึงความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์หนังสือ
ช่องทางการติดตามร้านหนังสือ: Instagram
เวลาทำการ: 09.00 – 17.00 น. (หยุดทำการทุกวันพุธและวันอาทิตย์)
2. กลิ่นหนังสือ
ตามมาด้วยอีกหนึ่งร้านหนังสือในภาคเหนืออย่างร้าน “กลิ่นหนังสือ” ซึ่งเป็นร้านหนังสืออิสระเล็กๆ น่ารักๆ ที่ตั้งอยู่ในอำเภอเมืองของจังหวัดน่าน ที่มีคอนเซ็ปต์ไม่เหมือนใคร
ร้านกลิ่นหนังสือเกิดขึ้นจากห้องสมุดของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ก่อนร้านนี้จะกำเนิดขึ้น คุณเจ้าของร้านหนังสือได้เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ผ่านการเป็นครูอาสาและบรรณารักษ์โรงเรียนบ้านห้วยส้มป่อย ส่วนชื่อของร้านนั้นเกิดจากกลิ่นซึ่งไม่ได้หมายถึงสิ่งที่สามารถรับรู้ด้วยจมูก แต่หมายถึงความทรงจำต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือตอนนำติดตัวไปอ่านด้วยขณะไปสอนที่จังหวัดเชียงราย หนังสือต่าง ๆ จากการรับบริจาค ซึ่งเป็นเล่มโปรดของนักอ่านหลาย ๆ ท่านที่อยากส่งต่อให้กับเด็กๆ ในโรงเรียน หรือการช่วยสอนการอ่าน-เขียนให้กับเด็ก ๆ ล้วนแต่เป็นความทรงจำดี ๆ และช่วงเวลาแห่งความสุขของในชีวิตคุณเจ้าของร้านเลยก็ว่าได้ ซึ่งความทรงจำเหล่านี้เป็นแรงผลักดันที่ทำให้เกิดเป็นร้านกลิ่นหนังสือในวันนี้นั่นเอง
และด้วยประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้รับมา ร้านกลิ่นหนังสือจึงมีกลไลการจัดการบริหารร้านคล้ายกับห้องสมุด “วิธีการหลายอย่างที่เราใช้สำหรับขายหนังสือในปัจจุบัน อันที่จริงแล้วก็เป็นวิธีการขายเดียวกับที่ขายให้เด็กๆ ที่โรงเรียนเลยค่ะ”
ในส่วนของหนังสือที่จัดจำหน่ายในร้านมีหลากหลายประเภทให้ได้เลือกเป็นเจ้าของกัน เช่น วรรณกรรมไทย-แปล นวนิยาย บทกวี เรื่องสั้น จิตวิทยาพัฒนาตนเอง และมีหนังสือของนักเขียนอิสระไทย ซึ่งในประเภทสุดท้ายมีสไตล์หลากหลายจึงเป็นประเภทของหนังสือแนะนำจากทางร้าน อีกทั้งร้านกลิ่นหนังสือมีจุดเด่นตรง Packaging ที่ไม่เหมือนใคร “ทุกออเดอร์ของเราจะนำหนังสือมาห่อด้วยกระดาษน้ำตาล ผูกรวงข้าวมัดด้วยเชือกป่านเพื่อแทนคำขอบคุณกับลูกค้าที่สั่งซื้อหนังสือจากเรา” และอีกหนึ่งจุดขายอันทรงเสน่ห์และน่าตื่นเต้นมากๆ ก็คือหนังสือในกลุ่ม “Blind date with a book” ซึ่งเป็นการห่อปกหนังสือเพื่อปิดชื่อหนังสือ ให้เราเดาไม่ออกว่าจะได้อ่านหนังสือเรื่องใดกันแน่
หากผู้อ่านสนใจร้านกลิ่นหนังสือ ทางร้านมีช่องทางการติดต่อที่หลากหลาย เอาใจนักอ่านทุกเพศทุกวัยเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ของร้านหนังสือที่ UI สวยงาม สบายตา และใช้งานได้ง่ายมากๆ หรือช่องทาง Social media ต่างๆ สำหรับสายโซเชียล อย่าง Twitter, Instagram, Line รวมถึง TikTok ส่วนสายชอปออนไลน์ก็อย่าได้น้อยหน้า เพราะทางร้านก็มีหน้าร้านบน Shopee ไว้รองรับเช่นกัน และไม่ต้องห่วงว่าหนังสือจะส่งช้าหรือจะหงุดหงิดด้วยเหตุติดต่อทางร้านได้ยาก เนื่องด้วยร้านกลิ่นหนังสือมีทีมงานคอยดูแลลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ตลอดทั้งสัปดาห์ไม่ว่าจะเป็นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ก็ตาม อีกทั้งทางร้านเองมักจัดโปรโมชันอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นจะพลาดข่าวสารจากทางร้านผ่านช่องทางต่างๆ นี้ไม่ได้เป็นอันขาด
สุดท้ายนี้ สิ่งที่ทีมงานจากทางร้านกลิ่นหนังสืออยากจะฝากถึงนักอ่านทุกคนว่า “หนังสือมีหลากหลายมากๆ จะต้องมีสักเล่มที่เหมาะกับคุณอย่างแน่นอนค่ะ!” ได้ยินแบบนี้แล้ว หากมีโอกาสคงต้องไปอุดหนุนร้านหนังสือที่เกิดจากใจรักร้านนี้กันสักครั้งแล้ว
ช่องทางติดตามร้านและสั่งซื้อหนังสือ: Facebook, Instagram, Twitter, Line, TikTok, Shopeeและ Klinnangsue
3. Fathom Bookspace
จากภาคเหนือเคลื่อนลงมายังภาคกลาง เข้าสู่เมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร แล้วก็จะพบกับ “Fathom Bookspace” ร้านหนังสืออิสระซึ่งเป็นมากกว่าแค่ร้านหนังสือ เพราะที่แห่งนี้ยังเป็นทั้งสถานที่สำหรับเรียนรู้ ผ่อนคลาย และที่ที่จะพาทุกคนมาร่วมวงพูดคุยแลกแปลี่ยนความคิดเพื่อเสริมสร้างความทรงจำดีๆ ผ่านกิจกรรมต่างๆ โดยมีหนังสือเป็นสื่อกลาง
คำว่า ‘Fathom’ มาจากชื่อหน่วยวัดความลึกของมหาสมุทร ถ้าอิงจากการวัดแบบโบราณ 1 Fathom จะมีค่าเท่ากับปลายมือข้างหนึ่งไปจนถึงปลายมืออีกข้างหนึ่งเมื่อกางแขน ดังนั้น คำนี้จึงมีความหมายว่า การโอบกอด ความเข้าใจ และความหยั่งถึงได้อีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นแนวคิดหลักที่คุณ ป่าน-ภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์ และคุณ กุ๊กไก่-ขนิษฐา ธรรมปัญญา เจ้าของร้านทั้งสองนำมาใช้ในการบริหารเพื่อให้ร้านหนังสือแห่งนี้จะสามารถสนับสนุนให้ทุกคนได้รู้จักตัวเอง เข้าใจคนอื่น เข้าใจความเป็นไปในสังคม และอยู่ร่วมกันได้อย่างน่ารักมากขึ้น
เมื่อเข้ามาในชั้นแรกก็จะพบกับพื้นที่ขายหนังสือซึ่งลูกค้าสามารถเดินเลือกซื้อได้ตามสะดวก โดยทางร้านก็มีหนังสือหลากหลายหมวด เช่น ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม เรื่องสั้น การเมือง หนังสือเด็ก และหนังสือหมวดการเรียนรู้ แต่หมวดที่โดดเด่นมากที่สุดนั่นก็คือหนังสือภาพที่มีค่อนข้างเยอะ โดยคุณเจ้าของทั้งสองได้ให้เหตุผลว่าหนังสือประเภทนี้เข้าถึงคนได้ง่าย และสามารถสื่อสารเรื่องที่เข้าใจยากได้อย่างลึกซึ้งน่าสนใจ
ในส่วนของชั้นลอยจะเป็นพื้นที่นั่งเล่น ซึ่งลูกค้าสามารถซื้อเครื่องดื่มของร้านไปจิบพลางอ่านหนังสือได้อย่างอิสระ อีกทั้งทางร้านยังมีห้องเวิร์กชอร์ปสำหรับจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น ละคร โยคะ ศิลปะบำบัด และการจัดวงบุ๊คคลับสำหรับคุยกันเรื่องหนังสือ โดยทางร้านจะมีการจัดกิจกรรมหรือนิทรรศการอยู่เรื่อยๆ เดือนละ 2-3 ครั้ง ซึ่งสามารถติดตามได้ทางเพจเฟซบุ๊คของทางร้านได้เลย
แม้อาจจะมีช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำหรือสถานการณ์โควิด 19 มาเป็นอุปสรรคบ้าง แต่ร้าน Fathom Bookspace ก็สามารถปรับตัวได้อย่างไม่มีปัญหา โดยทางร้านได้เพิ่มช่องทางออนไลน์มากขึ้น เช่น การเปิดเว็บไซต์ของร้านให้คนเลือกซื้อหนังสือได้ มี Facebook และ Instagram ที่รีวิวหนังสืออยู่เป็นประจำซึ่งถือเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดในฐานะเพื่อนนักอ่านได้อย่างเป็นกันเอง ทางหน้าร้านเองก็มีการแอคทีฟอยู่อย่างสม่ำเสมอ นั่นคือสาเหตุทำให้ Fathom Bookspace เหมาะสำหรับคนทุกรูปแบบ
ในท้ายที่สุดนี้ สิ่งที่คุณป่านกับคุณกุ๊กไก่ได้ฝากไว้คือ อยากให้นักอ่านทุกท่านได้ลองอ่านหนังสือโดยไม่ต้องรอรีวิว อยากอ่านอะไรก็อ่านเลย และหวังว่าจะเจอหนังสือที่ใช่สำหรับตน ซึ่งร้าน Fathom Bookspace แห่งนี้จะเป็นตัวกลางให้ทุกคนได้แบ่งปันความใจดีน่ารักให้แก่กันและกัน
ช่องทางติดตามร้านและสั่งซื้อหนังสือ: Facebook, Instagram Twitter, Shopee และ Fathom Bookspace
4. บทต่อไป
นอกเหนือจากร้านหนังสือบนดินที่เราได้พาไปทำความรู้จักแล้วนั้น เรายังอยากขอแนะนำ ร้าน “บทต่อไป” ซึ่งเป็นร้านออนไลน์อันเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพและความเอาใจใส่ลูกค้าตอบโจทย์ผู้คนที่รักการอ่านแต่ไม่มีเวลาว่างไปเลือกซื้อหนังสือด้วยตัวเอง
จากนิสัยการรักอ่านและใจที่อยากส่งเสริมให้ผู้คนอ่านหนังสือกันเพิ่มมากขึ้นนั้นได้รังสรรค์ให้เกิดร้านหนังสืออิสระนี้ขึ้นมา โดยมีหัวใจหลักของการทำร้านก็คือ “ให้นักอ่านยังคงอยากอ่านหนังสือที่เป็นเล่มจริงๆ” แม้ในยุคนี้ธุรกิจสิ่งพิมพ์ทยอยปิดตัวลงเพราะมี E-book เข้ามาแทรกแซง แต่ก็ยังมีความเชื่อมั่นและรักษาสิ่งเหล่านี้ให้คงอยู่ต่อไป จุดเด่นของร้านนี้ก็คือ การทำร้านแบบมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษเพื่อให้เข้าถึงผู้คนหลายๆ กลุ่ม ในส่วนของหมวดหนังสือก็มีหลากหลาย แต่หลักๆ แล้วทางร้านจะขายหนังสือพัฒนาตนเองเป็นส่วนมาก แนวจิตวิทยาและประวัติศาสตร์ก็มีเช่นกัน ซึ่งในอนาคตทางร้านจะเริ่มขายหนังสือภาษาอังกฤษ โดยจะมุ่งเน้นไปกับหนังสือเฉพาะด้าน เช่น หนังสือ ทำอาหาร หนังสือท่องเที่ยว หรือพวก Photo book รอติดตามกันได้เลย
ช่องทางหลักของร้าน “บทต่อไป” จะอยู่บน Instagram โดยมีการสร้างคอนเทนต์และกราฟฟิกต่างๆ ที่ดูทันสมัย สามารถเข้าถึงง่ายและมีความน่าเชื่อถือ รวมไปถึงมีช่องทางการขายหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Line Official, Website หรือ บน platform อย่าง Shopee ทุกๆ คำสั่งซื้อนั้นมีความพิถีพิถัน จัดส่งไว ส่งมอบหนังสือให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ปลอดภัยมากที่สุดและให้ความสำคัญกับการตอบคำถามแก่ลูกค้า แก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที น้อมรับทุกๆ ความผิดพลาดที่ได้ บอกได้เลยว่าเป็นร้านที่ให้ความสำคัญกับ Customer experience อย่างสุดๆ ยิ่งไปกว่านั้นทางร้านยังทำที่คั่นหนังสือเป็นคอลเลกชันต่างๆ แถมให้กับหนังสือทุกเล่มอีกด้วย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ไม่ได้เน้นไปที่ผลกำไรแต่แค่ทำสิ่งที่ชอบไปพร้อมกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าอยากเห็นคนอ่านหนังสือกันเพิ่มขึ้นนั่นเอง
สุดท้ายนี้ทางร้านอยากฝากถึงนักอ่านทุกคนว่า “อยากให้ช่วยกันสนับสนุนคนรอบตัว ๆ ของนักอ่านทั้งหลาย กระตุ้นให้เกิดการอ่านหนังสือเพิ่มมากขึ้น พูดคุย ถึงเรื่องหนังสือมากขึ้น ถ้านักอ่านทุกคนช่วยกัน เราจะได้เพื่อนนักอ่านเพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว แล้ววงการหนังสือก็จะอยู่รอด ข้อดีของการอ่านหนังสือมีมากมายจริงๆ สุดท้ายอยากฝากร้านหนังสืออิสระ ให้แก่นักอ่านทุกๆ ท่าน ช่วยสนับสนุน เชื่อว่าพวกเราทำร้านหนังสือกันด้วยความรักจริงๆ ขอฝากร้านหนังสือ “บทต่อไป” ไว้ให้ติดตามกันด้วยค่ะ :)” เป็นร้านที่รักหนังสือและเอาใจใส่ลูกค้าอย่างใจจริงขนาดนี้ ต้องไปอุดหนุนหนังสือกันเยอะๆ แล้วล่ะ
ช่องทางติดตามร้านและสั่งซื้อหนังสือ: Instagram, Shopee, Website และ Line Official
เป็นอย่างไรกันบ้างกับร้านหนังสืออิสระทั้ง 4 ร้านที่ได้แนะนำแก่ทุกคนไป น่าสนใจและน่าหาโอกาสแวะเวียนไปอุดหนุนสักครั้งกันจริงๆ เลยใช่ไหมล่ะ อย่างที่ทราบกันดีว่าจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและยุคสมัยทำให้หนังสือในยุคปัจจุบันกลายเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยซึ่งมีราคาที่สูงขึ้นจากเมื่อก่อนอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้น ผู้คนก็ยังคงให้ความรักและความสนใจในการอ่านอย่างสม่ำเสมอจนหาหนทางที่จะสามารถสัมผัสหนังสือเหล่านี้ได้พร้อมกับแบ่งปันความสุขจากการอ่านให้แก่ผู้อื่น ซึ่งด้วยแรงผลักดันเหล่านี้เองจึงทำให้เกิดร้านหนังสืออิสระหลายๆ ขึ้นอย่างเช่นร้านหนังสือที่เราได้แนะนำกันไปนี่เอง
สุดท้ายนี้ แม้ว่าสังคมนักอ่านอาจจะต้องเผชิญกับอุปสรรคต่างๆ ไม่ว่าจะจากปัจจัยใดก็ตาม แต่ก็อยากจะให้นักอ่านทุกท่านจดจำเอาไว้ว่าการอ่านหนังสือนั้นคือการเปิดโลกกว้างให้กับผู้คนได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เสมอ
Position: Editor, Author , Proof Reader
About the article
บทความนี้สร้างสรรค์โดยนักศึกษาฝึกงานมหาวิทยาลัยนเรศวร คณะมนุษยศาสตร์ ประจำปี 2565-66
กองบรรณาธิการ
- ดวงมณี ภังคะญาณ
- พศวัต มาลัยศิริรัตน์
- อาริศรา ผดุงกิจสกุล
- ธนพร วิลาศรี
- จิตสุภา สังขจร
Comments 1